ดาวโจนส์ดีดตัวต่อเนื่องกว่า 100 จุด ว่างงานลด-ไบเดนกระตุ้น เศรษฐกิจเพิ่ม

.นักลงทุนซื้อหุ้นต่อ หลังประกาศตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ต่ำกว่าคาด
.ตลาดติดตามการเปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงินสูงถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ในวันพรุ่งนี้
.ประมาณGDP ประจำไตรมาส 1/2564 ครั้งที่ 2 คาดเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 6.4%

เมื่อเวลา 22.15 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ34,451.31 จุด เพิ่มขึ้น 128.26 จุด หรือ +0.37% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 13,758.27 จุด เพิ่มขึ้น 20.27 จุด หรือ +0.15% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,207.79 จุด เพิ่มขึ้น 11.80 จุด หรือ +0.28%

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 38,000 ราย สู่ระดับ 406,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐเมื่อเดือนมี.ค.2563

นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 425,000 ราย และต่ำกว่าสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 444,000 ราย ขณะที่ จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลง 96,000 ราย สู่ระดับ 3.64 ล้านราย

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ยังคงสูงกว่าระดับ 230,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

ดัชนี ดาวโจนส์ยังได้รับแรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 6 ล้านล้านดอลลาร์ในวันพรุ่งนี้

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 6 ล้านล้านดอลลาร์ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งถือเป็นงบประมาณประจำปีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค. โดยจะประกอบด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะเข้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งช่วยเหลือภาคครัวเรือนสหรัฐเพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นิวยอร์กไทมส์ยังเปิดเผยว่า รัฐบาลของปธน.ไบเดนจะเพิ่มวงเงินในงบประมาณขึ้นสู่ระดับ 8.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2574 นอกจากนี้ รัฐบาลจะประกาศเพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเพื่อหารายได้มาชดเชยรายจ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ขณะที่คาดว่ารัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณลดลงนับตั้งแต่ปี 2573

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2564 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 6.4% ในไตรมาส 1 ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 หลังจากที่เติบโต 4.3% ในไตรมาส 4/2563
อย่างไรก็ดี ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับ GDP ประจำไตรมาส 1/2564 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.6%

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวมากกว่า 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2564 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 6.4% ในไตรมาส 1 ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 หลังจากที่เติบโต 4.3% ในไตรมาส 4/2563

อย่างไรก็ดี ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับ GDP ประจำไตรมาส 1/2564 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.6%

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือมากกว่า 70 ปี จากการที่สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการเปิดเศรษฐกิจ หลังจากหดตัว 31.4% ในไตรมาส 2/2563 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1/2563 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวมากกว่า 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ยังเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ด้วยว่า ลดลง 1.3% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ทะยานขึ้น 14.7% ในเดือนเม.ย.

นอกจากนั้น ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ พุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้นเพียง 1.0% หลังจากดีดตัวขึ้น 1.6% ในเดือนมี.ค.

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าการซื้อขายจะเบาบางในวันนี้ ก่อนวันหยุดยาวช่วงสุดสัปดาห์ โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.เนื่องในวันทหารผ่านศึก