

.มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ-เทคโนโลยี
.นักลงทุนมองเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว -มองยาโมลนูพิราเวียร์ต้านโควิดช่วยหนุน
.ตลาดขานรับ “โจ ไบเดน” ได้ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว
เมื่อเวลา 22.15 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 34,030.61 จุด เพิ่มขึ้น
186.69 /จุด หรือ +0.55% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,430.22 จุด ลดลง 18.36 / -0.13% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,318.85 จุดเพิ่มขึ้น 11.31 จุด หรือ +0.26%
ราคาหุ้นวันแรกของเดือน ต.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนกลับมาหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจปรับขึ้นเช่นกัน โดยมีความหวังว่ายาโมลนูพิราเวียร์จะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่มีแรงช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับขึ้น หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงต่ำกว่า 1.5% ขณะที่
ทั้นี้ ราคาหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 11% ขานรับข่าวดีจากการที่ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในกรณีฉุกเฉิน หลังการทดลองทางคลินิกได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ โดยยาโมลนูพิราเวียร์ เป็นยาเม็ดสำหรับรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งเมอร์คระบุว่ามีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์เดลตา โดยหลายประเทศทั่วโลกก็ได้เริ่มสั่งยาโมลนูพิราเวียร์จากเมอร์คแล้ว โดยรัฐบาลสหรัฐสั่งซื้อยาจำนวน 1.7 ล้านเม็ด
ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวแล้ว ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐมีงบประมาณใช้จ่ายจนถึงวันที่ 3 ธ.ค.นี้ และหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานเหล่านี้ต้องถูกปิดการดำเนินงาน
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 3.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2534 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.5% ส่วนดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2534
การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.7% ขณะเดียวกัน รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่วนอัตราการออมของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 9.4% สู่ระดับ 1.71 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากพุ่งขึ้น 10.1% ในเดือนก.ค.
ขณะที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 61.1 ในเดือนก.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าดัชนีจะปรับตัวลงสู่ระดับ 59.6 จากระดับ 59.9 ในเดือนส.ค. อย่างไรก็ตาม ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 60.7 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. จากระดับ 61.1 ในเดือนส.ค. โดยมีสาเหตุจากการขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบในการผลิต