

.นักลงทุนคลายกังวล เข้าซื้อหุ้นสะสม หลังสหรัฐฯ แก้วิกฤตการเงินสำเร็จอีกรอบ
.เจพีมอร์แกน พระเอกรายใหม่เข้าซื้อกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์
.ตลาดจับตาทิศทางดอกเบี้ย รอผลประชุมเฟดรอบวันที่ 2-3 พ.ค.นี้
เมื่อเวลาประมาณ 21.55 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 34,227.83 จุด เพิ่มขึ้น 129.67 จุด หรือ +0.38% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 12,232.31 จุด เพิ่มขึ้น 5.73 จุด หรือ +0.05% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ระดับ 4,180.00 จุด เพิ่มขึ้น 10.52 จุดหรือ +0.25%
นักลงทุนเข้าซ้ื้อหุ้นอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ สามารถผ่านวิกฤตสถาบันการเงินไปได้อีกระลอก โดยหลังจากเกิดปัญหาด้านเงินฝากกับธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ ส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ล่าสุดเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ได้ตกลงเข้าซื้อกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ เป็นที่เรียบร้อย ส่งผลฝห้หุ้นเจพีมอร์แกนพุ่งขึ้น
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ตกลงเข้าซื้อกิจการธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ เป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้เจพีมอร์แกนซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก
ภายใต้ข้อตกลงครั้งนี้ เจพีมอร์แกนได้เข้าครอบครองเงินฝาก 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์ของเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ รวมถึงเงินกู้อีก 1.73 แสนล้านดอลลาร์ และหลักทรัพย์ 3 หมื่นล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ค.นี้ โดย FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% และให้น้ำหนักเพียง 14.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75-5.00%
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 47.1 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 46.3 ในเดือนมี.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 46.8 อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ โดยเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 แล้ว