

- หลังเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้น ท่องเที่ยวช่วยดัน ราคาน้ำมันลด
- แต่กังวลการเมืองไม่แน่นอน จัดตั้งรัฐบาลช้า ทำระวังใช้จ่าย
- ชี้ถ้ามีรัฐบาลช้า “พิธา” ชวดนายกฯ ประท้วงบนถนน เศรษฐกิจดิ่งแน่
นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และสูงสุดในรอบ 39 เดือนนับจากเดือนมี.ค.63 โดยดัชนีเดือนพ.ค.66 อยู่ที่ 55.7 เพิ่มจาก 55.0 ในเดือนเม.ย.66
ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบัน อยู่ที่ 40.5 เพิ่มขึ้น 39.5 ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 63.1 เพิ่มจาก 62.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 50.2 เพิ่มจาก 49.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางาน อยู่ที่ 52.8 เพิ่มจาก 52.0 และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 64.2 เพิ่มจาก 63.6

สาเหตุที่ทำให้ดัชนีเพิ่มขึ้นทุกรายการ มาจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างชัดเจน ตลอดจนบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่คึกคักทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันลดลง ทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายเรื่องค่าครองชี ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านนายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนพ.ค.66 ที่สำรวจจากสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศว่า ดัชนีปรับขึ้นต่อเนื่อง และเกินค่ากลางที่ระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยดัชนีอยู่ที่ 53.6 เพิ่มจาก 51.9 ในเดือนเม.ย.66 เพราะผู้ประกอบการมองว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นจากการท่องเที่ยวกลับมา ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศลดลง เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น และกำลังซื้อในต่างจังหวัดดีขึ้น
ส่วนนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 39 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยดีขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ยังกังวลความไม่แน่นอนทางการเมือง เพราะยังไม่ชัดเจนว่า 8 พรรคการเมืองจะจัดตั้งรัฐบาลได้จริงหรือไม่ และเมื่อไร นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล จะได้เป็นนายกฯจริงหรือไม่ หากไม่ได้เป็น จะมีการประท้วงนอกสภาหรือไม่

ดังนั้น ทำให้เห็นภาพว่า สถานการณ์การเมืองกำลังปกคลุมบรรยากาศทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นประชาชน ประกอบกับ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ส่งผลให้ยังระมัดระวังใช้จ่าย คาดว่า การเมืองจะปกคลุมเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นต่อไปอีกอย่างน้อย 3-4 เดือน หรือจนกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองเดือนพ.ค.66 ที่อยู่ที่ 56.1 เพิ่มจาก 54.1 ในเดือนเม.ย.66 แม้ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และสูงสุดในรอบ 43 เดือนนับตั้งแต่เดือนพ.ย.62 แต่สถานการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนเห็นว่า ยังไม่มีเสถียรภาพมากนัก
“ถ้าจนถึงเดือนก.ย.-ต.ค.ปีนี้ ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ นายพิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ มีการเปลี่ยนขั้วจัดตั้งรัฐบาล มีการประท้วงนอกสภา สถานทูตประเทศต่างๆ เตือนนักลงทุนว่าไทยไม่ปลอดภัย การลงทุนจากต่างประเทศยังไม่มา มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้เพียง 2.5-3% เท่านั้น จากเดิมที่ศูนย์ฯคาดการณ์โต 3-3.5% แต่ถ้าได้รัฐบาลใหม่ไม่เกินเดือนส.ค.นี้ การเมืองนิ่ง ไม่มีการเมืองนอกสภา นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยตามเป้าหมาย 25-28 ล้านคน เศรษฐกิจไทยโตได้ตามเป้าหมายแน่นอน แต่ศูนย์ฯจะปรับประมาณใหม่เดือนก.ค.นี้ หลังเห็นความชัดเจนของการเมืองระดับหนึ่ง”