ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.ค 66 สูงสุดรอบ 26 เดือน

  • รับแรงหนุนจากท่องเที่ยวฟื้น ราคาน้ำมันลด
  • ประชาชนเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว
  • ม.หอการค้าไทยคาดทั้งปีจีดีพีอาจโตเกิน 4%

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่สำรวจตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศ 2,244 คนว่า ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกรายการ แสดงว่า ผู้บริโภคเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยกำลังกำลังฟื้นตัว  โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.66 อยู่ที่  51.7 จาก 49.7 ในเดือนธ.ค. 65 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 และสูงสุดในรอบ 26 เดือนนับตั้งแต่เดือนธ.ค.63, ดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบัน อยู่ที่ 36.3 เพิ่มจาก 34.6, ดัชนีเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 59.2 เพิ่มจาก 56.9 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 46.0 เพิ่มจาก 43.9, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 49.0 เพิ่มขาก 47.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 60.2 เพิ่มจาก58.1 ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ 

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง มาจากมองว่าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นหลังจากที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน และรัสเซียที่เริ่มเดินทางเข้ามาทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ดีขึ้น ประกอบกับ ราคาน้ำมันเบนซินปลดลงอย่างมากจากช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายเรื่องค่าครองชีพลง รวมทั้งราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นเช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และเพิ่มกำลังซื้อในต่างจังหวัด เงินบาทแข็งค่า สะท้อนถึงการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ 

“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นต่อเนื่องทุกรายการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มกลับมาเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น และจะเริ่มจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับในไตรมาสแรกของปีนี้” 

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ยังโตแบบรูปตัวเค (K) ที่ยังโตแบบไม่ทั่วถึง เพราะยังมีปัญหาหนี้สินดอกเบี้ยสูง ค่าไฟและน้ำมันแพงกระทบต่อต้นทุน แต่ภาคการส่งออกอาจไม่ได้ทรุดตัวมาก เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวน้อยกว่าที่คาด ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯที่หดตัวไม่มาก และการว่างงานในสหรัฐฯที่ต่ำสุดในรอบ 54 ปี  ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นเร็วกว่าปกติ จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจีน คาดว่าทั้งปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มเป็น 6-7 ล้านคน สร้างรายได้ราว 300,000-350,000 ล้านบาท และไตรมาส 2 จะมีการเลือกตั้ง จะมีเม็ดเงินสะพัดในระบบอีก 50,000 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 จากรูปตัวเค เป็นตัวเจ (J)  จึงมองว่าปีนี้ เศรษฐกิจไทยอาจโตมากกว่าคาดการณ์ขั้นต่ำอีก 0.3-0.5% ทำให้ทั้งปี ขยายตัวได้เกิน 4% ได้  

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่ยังสูง กังวลเกี่ยวกับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน  ที่อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น และกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกช้าลงหรือชะลอตัวลง และอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลก อาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และยังคงมีความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต 

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือน ม.ค.66 ที่สำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจและหอการค้าทั่วประเทศ 369 ตัวอย่าง พบว่า ดัชนี อยู่ที่ 47.4 เพิ่มขึ้นจาก 45.5 ในเดือนธ.ค.65 สูงสุดในรอบ 3 ปี หรือ 34 เดือนนับแต่เดือนก.ค.62 จากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี66 เช่น  มาตรการช้อปดีมีคืน, ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น การผ่อนคลายมาตรการ!คุมเข้มโควิด 19