

- ตลาดคาดเฟดตรึงดอกเบี้ย 0.00-0.25% และแสดงท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นในอนาคต
- นักลงทุนติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ที่ควรจะออกมาในช่วงสิ้นเดือน ก.ค.นี้
- หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับขึ้น หนุนดัชนีแนสแด็ก และเอสเแอนด์พี
เมื่อเวลา 21.15 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 26,462.33 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 83.05 จุด หรือ +0.31% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 10,502.74 จุด เพิ่มขึ้น 100.64 จุด หรือ +0.97% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,240.04 จุด เพิ่มขึ้น 21.60 จุด หรือ +0.67%
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในคืนนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมครั้งนี้ แต่คาดว่าจะมีการแสดงท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น โดยวานนี้ เฟดยังได้ประกาศขยายเวลาโครงการปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินวงเงินสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในการรับมือกับการแพร่ระบาดไปจนถึงสิ้นปีนี้
รวมทั้งติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ที่ควรจะออกมาในช่วงสิ้นเดือน ก.ค.นี้ แต่ยังมีขัดแย้งระหว่าง 2 พรรคการเมืองในรายละเอียดของมาตรการ
ไรอัน สวีต นักเศรษฐศาสตร์จาก มูดี้ส์ อนาไลติคส์ แสดงความเห็นว่า แม้เฟดจะยอมรับว่าการระบาดระลอกสองดังกล่าวเป็นความเสี่ยงขาลงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ แต่ถึงกระนั้นนักวิเคราะห์ก็คาดว่า การประชุมเดือนนี้ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
ตลาดจับตาบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ เช่น แอปเปิล อเมซอน เฟซบุ๊ก และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล โดยบริษัทดังกล่าวจะเข้าให้การต่อคณะอนุกรรมการต่อต้านการผูกขาดประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันนี้ เพื่อชี้แจงสอบสวนเกี่ยวกับพฤติกรรมด้านการค้าของกลุ่มบริษัทดังกล่าว อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากที่ปรับตัวลดลงวานนี้ส่งผลให้ดัชนีแนสแด็ก และเอสเแอนด์พีปรับขึ้นแรงวันนี้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาสที่ 2 บริษัทที่ทยอยออกมาด้วย โดยหลายบริษัทมีผลประกอบการดีกว่าที่คาด โดยเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ที่เปิดเผยตัวเลขขาดทุนต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2 GM ระบุว่า ยอดขายที่พุ่งขึ้นของรถบรรทุก และมาตรการปรับลดค่าใช้จ่ายได้ช่วยลดผลกระทบจากการปิดโรงงานในอเมริกาเหนือในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม บริษัทโบอิ้งเปิดเผยว่า ทางบริษัทขาดทุน 2.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่รายได้ต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทถูกกระทบจากแผนการชะลอการผลิตเครื่องบิน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการที่เครื่องบินรุ่น 737 MAX ยังคงถูกสั่งห้ามบิน จากอุบัติเหตุในปี 2561