ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 120 จุด ความเชื่อมั่นธนาคารพาณิชย์-เศรษฐกิจเพิ่ม



.หุ้นธนาคารดีดขึ้น หลังเฟด เผย 23 ธนาคารใหญ่สหรัฐฯผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต

.นักลงทุนขานรับภาวะการเงินที่ดีขึ้น ขณะที่มีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจมากขึ้นหลังการประมาณการดีกว่าคาด

.ตลาดมองเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ในเดือน ก.ค.หลังภาพรวมเศรษฐกิจแข็งแกร่ง

เมื่อเวลาประมาณ 21.55 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 33,980.67 จุด เพิ่มขึ้น
128.01 จุด หรือ +0.38% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 13,561.88 จุด ลดลง 29.87 จุด หรือ -0.22% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 4,379.57 จุด เพิ่มขึ้น 2.71 จุด หรือ +0.06%

ผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤตประจำปีของภาคธนาคาร พบว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐทั้ง 23 แห่งสามารถผ่านการทดสอบดังกล่าว ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินของสหรัฐมากขึ้น ส่งผลให้ หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2566 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2566 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.0% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.4% และสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ระดับ 1.1% และ 1.3% ตามลำดับ

นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการเสวนาว่าด้วยเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งธนาคารกลางสเปนจัดขึ้นที่กรุงมาดริดในวันนี้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดฉากการซื้อขายเดือนมิ.ย.ในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งสิ้นสุดไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 90% ในการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค. หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. และให้น้ำหนักเพียง 13.2% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25%

นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันพรุ่งนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)