

- ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 15,000 ราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
- ตลาดกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก
- นักลงทุนยังคงขายหุ้นลดความเสี่ยง กังวลเศรษฐกิจที่ส่อถดถอย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่19 ม.ค.ที่ 33,044.56 จุด ร่วงลง 252.40 จุด หรือ -0.76%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 3,898.85 จุด ลดลง 30.01 จุด หรือ -0.76% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 10,852.27 จุดร่วงลง 104.74 จุด หรือ -0.96%
นักลงทุนติดตามภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟดฉ หลายคนซึ่งรวมถึงนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ และนางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตัน ต่างก็ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงกว่า 5% เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมาย
เช่นเดียวกับ นายเจมี ไดมอน ซีอีโอของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส กล่าวในการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอสเมื่อวานนี้ว่า เขาคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะดีดตัวสูงกว่า 5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับสูง
ขณะที่การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในการประชุมเฟดครั้งหลังสุดเมื่อเดือนธ.ค.2565 เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550
ทั้งนี้ ตัวเลขตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ทำให้นักลบทุนมีความกังวลการเร่งขึ้นดอกเบี้นของเฟดมากขึ้น โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 15,000 ราย สู่ระดับ 190,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 214,000 ราย โดยตัวเลขดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าระดับ215,000 รายซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าเฟดพยายามคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อชะลอความร้อนแรงของตลาดแรงงานแล้วก็ตาม
มีแรงขายหุ้นกระจายแทบทุกกลุ่ม หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง 2.08% โดยหุ้นโบอิ้ง ดิ่งลง 1.11% หุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ลดลง 2.33% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 3.04% หุ้น 3M ร่วงลง 3.52%
อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 1.11% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นกว่า 1% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 1.03% หุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 0.64% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.08%
หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ร่วงลง 2.11% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรลดลงในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.2565 ซึ่งเป็นไตรมาส 2 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยกำไรของ P&G อยู่ที่ 3.9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.59 ดอลลาร์/หุ้นลดลงจากระดับ 4.22 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.66 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปี 2564
หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.23% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการ อย่างไรก็ดี หลังจากตลาดปิดทำการแล้ว ราคาหุ้นเน็ตฟลิกซ์พุ่งขึ้นกว่า 3% หลังจากบริษัทเปิดเผยจำนวนสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/2565