

- โยนกรมการค้าภายในพิจารณาให้กระทบคนซื้อน้อยที่สุด
- ขณะที่5ยักษ์ผู้ผลิตบุกพาณิชย์จี้ไฟเขียวเร็วที่สุด
- ระหว่างนี้หันส่งออกหนีตายขาดทุนขายในประเทศ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้ผลิคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 5 รายใหญ่เร่งรัดให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาปรับขึ้นราคาขายซองละ 2 บาทว่า การปรับขึ้นราคาล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 14 ปีที่แล้ว จากซองละ 5 บาทเป็นซอง 6 บาท และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตได้ขอปรับราคามาตลอด แต่กรมการค้าภายในยังไม่อนุญาต เพราะต้องดูผลกระทบกับภาระของผู้บริโภคด้วย แต่เห็นว่า ขณะนี้ที่ขอปรับจากซองละ 6 บาทขึ้นเป็นซองละ 8 บาท อาจจะมากเกินไป ถ้าสูงขนาดนี้จะกระทบผู้มีรายได้น้อยมากเกินสมควร
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับกรมการค้าภายในที่จะต้องไปดูต้นทุน เข้าใจว่าวิเคราะห์ต้นทุนทั้งหมดเสร็จแล้ว ซึ่งให้นโยบายไปว่า ถ้าจะต้องปรับราคาขึ้นต้องเป็นไปตามต้นทุนที่สูงขึ้นจริง และสร้างความเดือดร้อนกับผู้บริโภคให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบริโภคต่อไป ขณะเดียวกัน ให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่ได้ไม่ต้องถึงกับขาดทุนและหยุดการผลิต หรือเอาไปส่งออกอย่างเดียว เพราะตลาดต่างประเทศราคาดีกว่า

“อธิบดีกรมการค้าภายในจะเป็นผู้พิจารณา และถ้าต้องขึ้น ก็ให้เป็นไปตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง แต่ถ้าต้นทุนลดลงเมื่อไร จะต้องปรับราคาลงมาด้วย ให้กรมการค้าภายในติดตามสถานการณ์ต้นทุนโดยใกล้ชิด ขณะนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งค่าพลังงาน ค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ค่าขนส่ง และต้นทุนการผลิตที่เป็นวัตถุดิบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี และน้ำมันพืช เป็นต้น”
ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 9.30 น. วันที่ 16 ส.ค.65 นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเด้นท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า และนายวีระ นภาพฤกษ์ชาติ กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไว ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ผลิตอีก 3 ราย คือ ยำยำ, ซื่อสัตย์ และนิชชิน ได้ยื่นหนังสือต่อนายวัฒนศักย์เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เพื่อขอให้พิจารณาเร่งรัดการปรับขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากซองละ 6 บาทเป็นซองละ 8 บาท
นายพันธ์ กล่าวว่า ต้องการให้กรมการค้าภายในเร่งรัดพิจารณาอนุญาตให้ปรับขึ้นราคาโดยเร็วที่สุด และระหว่างนี้ ผู้ประกอบการจะหันไปส่งออกมากขึ้น จากปัจจุบันที่ส่งออก 30-35% เพราะมีกำไรมากกว่า และการขายในประเทศขาดทุน ยืนยันว่า แม้จะส่งออกมากขึ้น แต่ไม่มีปัญหาขาดแคลนแน่นอน เพราะการผลิตยังเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทเดินเครื่องผลิตเพียง 80% ของกำลังการผลิตเท่านั้น อย่างในช่วงปีน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ถนนขาด มาม่ายังผลิตและขนส่งไปจำหน่ายได้ มีกรณีเดียวที่จะทำให้บะหมี่ขาดแคลน คือ การกักตุนสินค้าของประชาชน ดังนั้น ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องซื้อกักตุน ซื้อเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า ขณะนี้ กรมยังไม่ได้อนุมัติให้ปรับขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแต่อย่างใด โดยกรมจะติดตามดูแลราคาสินค้าในตลาดอย่างใกล้ชิด หากพบการฉวยโอกาส ผู้ค้ารายใดปรับราคาขึ้นขายแพงเกินจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ อย่างไรก็ตาม จากกา รติดตามต้นทุนวัตถุดิบการผลิต ยอมรับว่า ปัจจัยการผลิตหลายตัวปรับขึ้นราคา โดยเฉพาะแป้งสาลี น้ำมันปาล์ม แต่ผู้ผลิตก็ยังให้ความร่วมมือช่วยตรึงราคามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 64 ก็ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการด้วย ส่วนจะอนุญาตให้ขึ้นราคาได้เมื่อไร ยังไม่ได้ข้อสรุป ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบที่สุด ให้ทุกฝ่ายอยู่ได้