“จุรินทร์” ประกาศเปิดเจรจาเอฟทีเอไทย-ยูเออี



  • 2 ฝ่ายตั้งเป้าหมายปิดดีลเจรจาภายใน 6 เดือน
  • สร้างแต้มต่อสินค้า บริการ ลงทุนไทยในตะวันออกกลาง
  • คาดบังคับใช้ปีแรกดันการค้าไทยเพิ่มไม่ต่ำ 7 หมื่นล้านบาท

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ที่จ.ภูเก็ตว่า ทั้ง 2 ประเทศได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยได้ประกาศเปิดเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-ยูเออี ซึ่งเป็นการประกาศการเจรจาหลังจากที่ตนนำคณะภาครัฐและภาคเอกชนเดินทางไปเยือนยูเออี เพียง 3 เดือนเท่านั้น และตั้งเป้าจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน การเจรจานัดแรกระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสวันที่ 16-18 พ.ค.นี้ ที่ดูไบ ยูเออี

“ถือเป็นเอฟทีเอฉบับก่อนการเลือกตั้ง และกระทรวงพาณิชย์ช่วยกันทำงานหนักจนนาทีสุดท้ายเพื่อประโยชน์ของประเทศ และถ้าเป็นไปตามเป้าหมาย จะเป็นเอฟทีเอฉบับประวัติศาสตร์ฉบับหนึ่งที่ทำได้เร็วที่สุด คาดว่า จนเสร็จใช้เวลาเพียง 9 เดือน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน 2 ประเทศ“

สำหรับประโยชน์ของไทย คือ สามารถใช้ยูเออีเป็นประตูส่งสินค้าและบริการไปยังอีก 5 ประเทศ สมาชิกคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (จีซีซี) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย บาห์เรน โอมาน กาตาร์ และคูเวต โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ จะช่วยเพิ่มตัวเลขการส่งออกของไทยไปยังยูเออีไม่ต่ำกว่า 10% หรือเพิ่มอีก 70,000 ล้านบาทภายใน 1 ปี จากปี 65 มูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ที่ 730,000 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 119,000 ล้านบาท 

โดยสินค้าที่จะได้ประโยชน์ทันที เช่น อาหาร อาหารทะเลกระป๋อง อาหารทะเลแปรรูป สิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง เป็นต้น ส่วนภาคบริการ เช่น ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โลจิสติกส์และการขนส่ง  

 ด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายตั้งเป้าหมายจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน เพราะคาดว่า การเจรจาจะไม่ซับซ้อน และไม่มีเรื่องยาก โดยจะเน้นเรื่องการเปิดตลาดสินค้า บริการ ลงทุน การค้าดิจิทัล ฯลฯ ส่วนประเด็นอ่อนไหว เช่น การค้ากับสิ่งแวดล้อม แรงงาน อาจกำหนดให้เป็นความร่วมมือระหว่างกัน ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ทั้งนี้ หากเจรจาเสร็จภายใน 6 เดือน ทั้ง 2 ฝ่ายจะดำเนินการภายในเพื่อให้สัตยาบัน และเอฟทีเอจึงจะมีผลบังคับใช้ โดยไทยต้องเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และสภาผู้แทนราษฎรก่อน