“จุรินทร์”ถึงขั้นขอร้องประชาชนอย่ากักตุนสินค้าอุปโภคบริโภค

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่มีประชาชนซื้อตุนอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคจากความกังวลการระบาดโควิด-19 ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เชิญ 9 สมาคม ประกอบด้วยสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย สมาคม ผู้ผลิตอาหารสาเร็จรูป สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ สมาคมผู้ผลิตไก่ เพื่อส่งออกไทย สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยา แผนปัจจุบัน และสมาคมผู้วิจัยและผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ มาหารือ เพื่อเตรียมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อรองรับความต้องการของประชาชน ซึ่งทั้ง 9 สมาคมยืนยันว่ายังมีความพร้อมบริหารจัดการและผลิตสินค้าให้ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก และร้านค้าต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งภาพรวมต้องมีการประสานการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และผู้ประกอบการเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ พร้อมย้ำยังไม่ได้มีการจำกัดการซื้อสินค้าของประชาชนแต่อย่างใด ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภคแบบภาวะปกติมากกว่า ไม่อยากเห็นสถานการณ์การกักตุนสินค้าเกิดขึ้น เพราะจะเป็นต้นเหตุทำให้สินค้าขาดแคลน โดยได้กำชับให้ผู้ค้าส่งและค้าปลีกส่งข้อมูลรายงานสถานการณ์การบริโภคสินค้าให้แก่อธิบดีกรมการค้าภายในและปลัดกระทรวงพาณิชย์ทราบตลอดเวลา เพื่อประกอบการตัดสินใจในการดูแลประชาชนได้ทันท่วงที

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าคนบางกลุ่มกักตุนหน้ากากอนามัยนั้น หากมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ากระทำผิดจริงหรือมีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ได้ประสาน 11 โรงงานผู้ผลิตหน้ากากอนามัย ขอความร่วมมือผู้ผลิตสินค้าสเปกพิเศษให้ช่วยผลิตหน้ากากอนามัยที่ไทยจำเป็นต้องใช้และมีหลายรายให้ความร่วมมือปรับไลน์การผลิต ทำให้ตัวเลขยอดรวมที่ผลิตได้ต่อวัน 1.2 ล้านชิ้น เพิ่มเป็น 1.78 ล้านชิ้น ภายใน 1 – 2 วันนี้ ช่วยจัดสรรให้การ กระจายหน้ากากอนามัยดีขึ้น ซึ่งได้จัดสรรไปให้กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านชิ้นต่อวัน และส่วนที่เหลือจะเร่งกระจายให้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป ผ่านร้านธงฟ้า ร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ 

อย่างไรก็ตาม ภายในสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุปในการเพิ่มช่องทางจำหน่ายมากขึ้นอาจจะเป็นร้านกาแฟอเมซอนและบางจาก ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับไปรษณีย์ไทย เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ พร้อมยอมรับว่าหน้ากากอนามัยไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน เพราะถ้าประชาชน 60 ล้านคน ต้องการหน้ากากอนามัยพร้อมกัน ด้วยกำลังการผลิตที่มีจึงไม่เพียงพอกับความต้องการแน่นอน แต่จะพยายามกระจายหน้ากากอนามัยให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนปัญหาเรื่องวัตถุดิบจะเร่งประสานงานกับจีนและประเทศอื่นที่มีวัตถุดิบเพื่อนำเข้ามาผลิตหน้ากากอนามัย คาดจะได้คำตอบจากอุปทูตจีนสัปดาห์หน้า