จับตา “กนศ.” ชง “ครม.” ไฟเขียวไทยเข้าร่วม “ซีพีทีพีพี”



  • อ้างได้ประโยชน์เพียบถ้าไม่เข้าร่วมเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
  • ประชาสังคมรุมค้านไทยหายนะแนะเหตุยังไม่พร้อมแข่งขัน
  • แนะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนร่วมวง-ทำเอฟทีเอกับประเทศอื่นดีกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ที่มีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ เป็นประธาน ได้นำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) มาศึกษาเพิ่มเติมถึงผลดี ผลเสีย และข้อห่วงใยกรณีที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกซีพีทีพีพีเสร็จสิ้นแล้ว และได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาว่าไทยควรเข้าเป็นสมาชิกหรือไม่แล้ว คาดครม.จะพิจารณาเร็วๆ นี้ โดยกนศ.เห็นว่า ไทยควรเข้าเป็นสมาชิก เพราะจะได้รับประโยชน์มาก แต่หากไม่เข้า จะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ  

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่าย โดยเฉพาะภาคประชาสังคมตั้งข้อสังเกตว่า ไทยจำเป็นต้องเข้าร่วมซีพีทีพีพีจริงหรือไม่ และประโยชน์ที่จะได้รับ จะคุ้มค่ากับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ รวมถึงประชาชน และประเทศหรือไม่ เพราะปัจจุบัน ไทยมีเอฟทีเอกับสมาชิกซีพีทีพีพีแล้วถึง 9 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ บรูไน ชิลี มาเลเซีย เปรู สิงคโปร์ และเวียดนาม จากทั้งหมด 11 ประเทศ เว้นเพียงแคนาดา และเม็กซิโก แต่ในเดือนก.ย.นี้ อาเซียนเตรียมประกาศจัดทำเอฟทีเอกับแคนาดา เหลือเพียงเม็กซิโกเท่านั้น ดังนั้น สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดทั้ง 10 ประเทศได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นสมาชิก เพื่อขยายโอกาสเข้าสู่ตลาดสมาชิกซีพีทีพีพี 

นอกจากนี้ กมธ.ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนไทยเข้าเป็นสมาชิก ต้องปรับปรุงจุดอ่อน หรือเตรียมความพร้อมด้านความสามารถในการแข่งขันในทุกมิติของการค้า แต่ขณะนี้ ไทยปรับปรุง และเตรียมความพร้อมแล้วหรือไม่ หากรัฐบาลยังไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ ก็ไม่ควรเข้าเป็นสมาชิก ขณะเดียวกัน กนศ.ได้ศึกษาถึงผลดี ผลเสียที่มีต่อไทย กรณีที่สหราชอาณาจักร เตรียมเข้าเป็นสมาชิกแล้วหรือไม่ รวมถึงกรณีที่สหรัฐฯอาจเข้าเป็นสมาชิกในอนาคต เพราะคาดว่า จะกระทบต่อไทยมาก เพราะทั้ง 2 ประเทศ มีศักยภาพการแข่งขันในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคบริการ และอำนาจต่อรองสูง อาจทำให้ซีพีทีพีพี กลายเป็นความตกลงที่มีมาตรฐานสูงยิ่งขึ้น (ซีพีทีพีพี พลัส)

สำหรับประเด็นอ่อนไหวที่ไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน เช่น การคุ้มครองพันธ์ุพืชใหม่ ยังไม่ชัดเจนว่า จะดำเนินการอย่างไร, ภาคบริการ จะเสียเปรียบมาก เพราะสมาชิกจะเข้ามาประกอบธุรกิจบริการในไทยมากกว่าที่ธุรกิจไทยจะไปลงทุนในประเทศสมาชิก, จัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ จะทำให้ธุรกิจของสมาชิก เข้ามาประมูลงานภาครัฐของไทยได้ ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ถูกต่างชาติแย่งงาน ส่วนภาคเกษตร ยิ่งเสียเปรียบ เพราะขาดเทคโนโลยี นวัตกรรม และจะทำให้สินค้าเกษตรจากทั้งแคาดา และเม็กซิโก เข้ามาตีตลาดได้ และเกษตรกรไทยเสียหาย เป็นต้น

ทั้งนี้ จากประเด็นอ่อนไหวต่างๆ ทำให้เห็นว่า ไทยยังไม่ได้เตรียมความพร้อมใดๆ เลย ดังนั้น การเข้าร่วม จะทำให้เสียประโยชน์มากกว่าได้ แม้กระทรวงพาณิชย์ เตรียมจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอ เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบ แต่ไม่น่าจะเพียงพอ ขณะนี้ ไทยควรเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ให้พร้อมรับการแข่งขันดีกว่า และการที่ไทยเข้าเป็นสมาชิกช้ากว่าสหราชอาณาจักร น่าจะทำให้ไทยได้รับทราบข้อมูลผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสมาชิกมากขึ้น และทำให้ไทยกำหนดแนวทางการเจรจาต่อรองได้ดีขึ้น อีกทั้งควรทำเอฟทีเอกับกลุ่มประเทศใหม่ๆ ดีกว่า