

อานิสงส์เศรษฐกิจฟื้น “คลัง” จัดเก็บรายได้ สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 153,293 ล้านบาท
- กรมสรรพากรเก็บรายได้สูงสุด
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล-ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- สรรพาสามิตรายได้ต่ำกว่าปรับ เหตุลดภาษีน้ำมันดีเซล
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผย ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – สิงหาคม 2566) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จานวน 2,368,862 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 153,293 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6.9 และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนร้อย4.9% โดยหน่วยงานที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ 1.กรมสรรพากร โดยเฉพาะจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2.ส่วนราชการอื่น เนื่องจากมีรายได้พิเศษที่ไม่ได้อยู่ในประมาณการ เช่น การนำส่งทุนหรือผลกาไรส่วนเกินของ ทุนหมุนเวียนเป็นรายได้แผ่นดิน การนำส่งเงินเหลือจ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 เป็นรายได้แผ่นดิน เงินส่วนเกินจากการจำหน่ายพันธบัตรจากการกู้เงินเพื่อชดเชย การขาดดุล รายได้จากสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น

และ 3. กรมศุลกากร เนื่องจากมูลค่าการนาเข้าสูงกว่า ประมาณการ ซึ่งเป็นผลของค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ประกอบกับมีการชำระอากรขาเข้าย้อนหลัง ตามคำพิพากษาคดี อย่างไรก็ดี การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตต่ำกว่าประมาณการจากการปรับลดอัตราภาษี สรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็นระยะเวลา 10 เดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนเป็นการชั่วคราว จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้พิเศษของส่วนราชการอื่นและกรมศุลกากร ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิสูงกว่า ประมาณการ 83,317 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.8 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.8