

ผู้สื่อข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การล็อคดาวน์ประเทศครั้งที่แล้ว กระทรวงการคลัง ได้ออกมาตรการเยียายาประชาชน ที่มีอาชีพอิสระ และเกษตรกร รายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน โดยช่วยเหลือคนที่มีอาชีพอิสระ ที่ลงทะเบียนและได้รับเงินเยียวยาราว 14.4 ล้านคน และเกษตรกรประมาณ 10 ล้านคน
อย่างไรก็ตามในการระบาดโควิดนี้รอบสองนี้ ไม่ได้มีการล็อคดาวน์เหมือนคราวที่แล้ว ดังนั้นผลกระทบอาจจะไม่มากเท่าครั้งแรก ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนจากการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งมีไม่น้อยกว่า 4 แนวทาง
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง มองว่าช่วยกระตุ้นกิจรรมทางเศรษฐกิจให้คึกคัก ไม่ใช่เป็นมาตรการที่แจกฝ่ายเดียว คือ มาตรการคนละครึ่ง ที่รัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคให้ประชาชน 50 % แต่ไม่เกิน 150 บาท/วัน อีกทั้งยังเป็นการช่วยพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่เป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทยด้วย
ขณะที่เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมานี้ มีคนเข้าร่วมลงทะเบียนในโครงการคนละครึ่งทั้งเฟสหนึ่งและเฟสสอง รวม 12 ล้านคน มีคนที่ใช้สิทธิ์ 9.53 ล้านคน มียอดใช้จ่ายรวมกว่า 53, 4000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนควักจ่ายเอง 27, 300 ล้านบาท ที่เหลือเป็นส่วนที่รัฐออกให้
นางแพตริเซีย มงคล วานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายหนี้สาธารณะ(สบน.)กล่าวว่า รัฐบาลยังมีงบประมาณเพียงพอในการเยียวผลกระทบจากโควิด ซึ่ง ตาม พระราชกำหนด(พ.ร.ก.)เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ยังมีเงินเหลืออยู่ที่จะสามารถนำมาใช้ได้หากรัฐบาลต้องการ
ทั้งนี้ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท แบ่งการใช้จ่ายออกเป็นสามส่วน ส่วนแรก เพื่อเยียวยาด้านสาธารณสุขของประเทศ เป็นวงเงิน 45, 000 ล้านบาท ส่วนที่สองเป็นการเยียวยาผลกระทบต่อประชาชน วงเงิน 555, 500 ล้านบาท และส่วนที่สาม เป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 400, 000 ล้านบาท โดยงบในส่วนของเยียวยาประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาใช้ในหลายโครงการเช่น การแจกเงินประชาชนอาชีพอิสระคนละ 5, 000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน และรวมถึงมาตรการคนละครึ่ง ทำให้ปัจจุบันงบเพื่อการเยียวยาประชาชนเหลืออยู่ 470, 000 ล้านบาท
“หากรัฐบาลต้องการใช้เงินตาม พรก.เพื่อเยียวยาผลกระทบต่อประชาชน สบน. ก็พร้อมดำเนินการกู้เงินในตลาดภายในประเทศ”
ทั้งนี้ การที่จะกู้เงินเพิ่มเติมจาก 1 ล้านล้านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล และความจำเป็นในการใช้เงิน ซึ่งจากการประเมินของ สบน.หลังจากการกู้เต็ม 1 ล้านล้านบาท ตามพ
ร.ก.แล้ว หนี้สาธารณะในสิ้นปีงบประมาณ 2564 จะขึ้นไปอยู่ที่ราว 57 % จาก ณ เดือนพ.ย. 2563 อยู่ที่ 50.46 % ของ จีดีพี แต่อย่างไรก็ตาม ระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณนี้จะเป็นไปตามคาดหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวหาร คือ จีดีพี ด้วยว่าจะปรับลดลงต่ำกว่าคาดหรือไม่
ส่วนหากพิจารณาโครงสร้างของภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาลไทย จะเห็นว่า เป็นภาระหนี้ที่รัฐบาลรับภาระโดยตรงเพียง 40 % ของภาระหนี้ทั้งหมด ซึ่ง ณ พ.ย.2020 มีภาระหนี้ทั้งหมด 7.925 ล้านล้านบาท ส่วนภาระหนี้ที่เหลือเป็นภาระหนี้ของรัฐวิสาหกิจ ที่สามารถชำระหนี้ได้ด้วยตัวเอง ส่วนหนี้ของกองทุนฟื้นฟู ที่มีอยู่ 743, 000 ล้านบาทนั้นเป็นภาระที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เป็นผู้รับผิดชอบ