คลัง เชื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไตรมาส 4 ชี้ต้องปรับนักท่องเที่ยวน้อยลงแต่กระเป๋าหนักมากขึ้น



  • เล็งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
  • รักษาสมดุลการฟื้นเศรษฐกิจและสาธารณสุขให้ดี

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา Wealth Forum Chapter II NEXT IS NOW : จับกระแสกลยุทธ์ สู่ความมั่งคั่งวิถีใหม่ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ติดลบถึง 12.2%  ส่วนในช่วงไตรมาส 3 เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) รายได้ภาคเกษตรซึ่งขยายตัว 2 เดือนติดต่อกัน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน

นอกจากนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยเริ่มกลับมา คนกลับมาท่องเที่ยวมากขึ้น เห็นได้ตัวเลขจากการใช้น้ำมัน การใช้รถยนต์และถนน  สะท้อนว่าการขนส่งกำลังฟื้นตัว ส่วนไตรมาส  4 ของปีนี้ ที่แม้ตัวเลขเศรษฐกิจด้านต่างๆ จะยังไม่กลับเป็นบวกทั้งหมด แต่จะติดลบน้อยลงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาแน่นอน

อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจไทยและโลกจะกลับมาพลิกฟื้นได้ในระยะเวลาอันใกล้ แต่ภาครัฐยังจำเป็นต้องรักษาสมดุลให้ดีระหว่างการฟื้นเศรษฐกิจและการดูแลด้านสาธารณสุขให้ดี  เพราะหลังจากนี้การดำเนินธุรกิจจะไม่เหมือนเดิม ความท้าทายของรัฐบาล คือ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยและบริโภค ดังนั้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้อาจมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามความเหมาะสมอีกครั้ง

“เชื่อว่ามาตรการดูแลบริโภค ทั้ง 3 มาตรการ ได้แก่ การใส่เงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 500 บาท 3 เดือน เพื่อช่วยคนระดับล่าง มาตรการคนละครึ่ง ใช้เงินใช้จ่ายไม่เกิน 3,000 คน เพื่อช่วยคนระดับกลาง  และมาตรการช้อปดีมีให้นำค่าซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนจ่ายจริงรวมกันไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน ที่หวังให้คนที่มีกำลังสูงใช้จ่าย จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศสิ้นปีนี้ได้”  

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวก็ต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน โดยการปรับโครงสร้างการนักท่องเที่ยวต่างประเทศใหม่ เพราะแต่เดิมในแต่ละปีประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 40 ล้านคน คิดเป็นรายได้  2 ล้านล้านบาท  แต่วันนี้เราไม่ต้องการนักท่องเที่ยวจำนวนมากแล้ว แต่ต้องการนักท่องเที่ยวแค่ 20 ล้านคน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่กระเป๋าหนักทน พักอาศัยอยู่ในไทยนาน ใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อให้ได้เม็ดเงิน 2 ล้านล้านบาทเท่าเดิม  

“ส่วนการเข้าสู่ธุรกิจดิจิทัล และการก้าวสู่สังคมไร้เงินสดนั้น ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาทุกคนคุ้นเคยกับการทำงานที่บ้าน การซื้อของผ่านออนไลน์แล้วอยู่แล้ว ต่อไปภาคธุรกิจต้องปรับตัวให้ทัน ในขณะที่ภาครัฐต้องออกกฎหมายที่เอื้อต่อการค้าขายออนไลน์และการทำธุรกิจด้วย”