

- ชี้หลายประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเงิน ต่างก็มีการเก็บภาษีนี้มานานแล้ว
- เผยการนำเสนอข่าวยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่ เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน ย้ำ!ไม่ได้ยกเว้นให้
- “อาคม” ลั่นการเก็บภาษีนี้เป็นหนึ่งในแผนปฏิรูปรายได้รัฐบาล เพื่อสร้างความเป็นธรรม บดความเหลื่อมล้ำในระบบ
วันนี้ (2 ธ.ค.65) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง พร้อมด้วย นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจง ถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือภาษีขายหุ้น เพื่ออธิบายให้สื่อมวลชนและประชาชนมีความเข้าใจที่ตรงกัน หลังจากมีหลายกระแสข่าวมีการพูดถึงเรื่องนี้กันแพร่หลาย

นายอาคม เปิดเผยว่า การจัดเก็บภาษีหุ้นที่จะเกิดขึ้นนี้ เป็นหนึ่งในแผนการปฏิรูปภาษีของรัฐบาล เนื่องด้วยปัจจุบันรายได้ต่อจีดีพีของประเทศไทยลดลง ซึ่งในเรื่องนี้ทางรัฐบาลก็มีการศึกษามาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนั้นในหลายๆ ประเทศก็มีการตัดเก็บอัตราภาษีการขายหุ้นเช่นกัน โดยวัตถุประสงค์หลักในการเก็บภาษีตัวนี้เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในระบบภาษี เพราะเราได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีตัวนี้มานานแล้วถึง 30 ปี
นายลวรณ กล่าวว่า การเก็บภาษีขายหุ้นในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ชี้ขาดว่าประเทศใด จะเสียโอกาสในการได้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีการพูดถึงกันอย่างมาก โดยกล่าวกันว่า เมื่อไทยเก็บภาษีการขายหุ้นแล้วจะทำให้ไทยไม่สามารถเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคได้
“ขอย้ำว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเงินในปัจจุบัน อาทิ สหรัฐฯ อังกฤษฮ่องกง เกาหลีใต้ ต่างก็มีจัดเก็บภาษีตัวนี้ โดยบ้างประเทศก็มีอัตราภาษี และต้นทุนการซื้อขายหุ้นที่สูงกว่า หรือใกล้เคียงกับประเทศไทยก็มี” นาย ลวรณ กล่าว
นายลวรณ กล่าวด้วยว่า ตัวอย่างประเทศฮ่องกง มีการจัดเก็บภาษีจากการขายและการซื้อหุ้นที่ 0.13% มาเลเซียจัดเก็บจากการขายและการซื้อที่ 0.15% เกาหลีใต้จัดเก็บจากการขายที่ 0.23% ไต้หวันจัดเก็บจากการขายที่ 0.30% ฟิลิปปินส์จัดเก็บจากการขายที่ 0.60% อังกฤษจัดเก็บจากการขายที่ 0.50% อีกทั้งยังจัดเก็บจาก Capital Gain Tax อีกด้วย
นายลวรณ กล่าวอีกว่า ประเทศฮ่องกง อังกฤษ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ต่างก็มีการเก็บภาษีการขายหุ้น แต่ตลาดหลักทรัพย์ของเศรษฐกิจเหล่านี้ ก็ยังสามารถเป็นตลาดหลักของโลกได้ทั้งที่มีจัดเก็บภาษีขายหุ้น โดยมีมาร์เก็ตแคปอยู่ใน 20 อันดับแรกของโลก ดังนั้นการเก็บภาษีขายหุ้นที่จะเกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดว่าประเทศใดจะได้เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคนั้น
อีกทั้งเมื่อเทียบต้นทุนการทำธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคจะพบว่า การเก็บภาษีการขายหุ้นในปีแรกเพียงครึ่งหนึ่ง และเก็บเต็มจำนวนในปีต่อๆไปของไทย ไม่ได้ทำให้ต้นทุนโดยรวมสูงกว่าประเทศอื่น เช่น ฮ่องกง และมาเลเซีย

ทั้งนี้ ในปีแรกหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ประเทศไทยจะเก็บภาษีขายหุ้นในอัตรา 0.055% (รวมภาษีท้องถิ่น) และจะจัดเก็บในอัตรา 0.11% (รวมภาษีท้องถิ่น) ในปีถัดไป โดยจากการคำนวณภาระต้นทุนจะอยู่ที่ 0.195%ในปีแรก และปีถัดไปจะขยับอยู่ที่ 0.22% ต่ำกว่าฮ่องกงที่อยู่ 0.38% มาเลเซียอยู่ที่ 0.29%
นายลวรณ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการนำเสนอว่า จะมีการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน โดยข้อเท็จจริงคือ ไม่ได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ แต่จะยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง(Market Maker) กับกองทุนบำนาญ โดย Market Maker คือ บริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน้าที่ทําการเสนอซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Market Maker ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ตามที่ข่าวได้นำเสนอ ซึ่งการยกเว้นดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ ฮ่องกง ฝรั่งเศส และอิตาลี สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าบุคคลธรรมดา นักลงทุนสถาบันที่ไม่ใช่กองทุนบำนาญ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เอง (ไม่ใช่บัญชี Market Maker) จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีขายหุ้นดังกล่าวนี้ ยังคงการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่
1. ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉพาะการขายหลักทรัพย์ที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น
2. สำนักงานประกันสังคม
3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
4. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
5. กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
6. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
7. กองทุนการออมแห่งชาติ
8. กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคมหรือกองทุนตามข้อ 3 – 7 เท่านั้น
นายลวรณ กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลเข้ามาดำเนินการจัดเก็บภาษีดังกล่าวในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยมีเหตุผลสำคัญเพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบ โดยขณะนี้ ตลาดหุ้นมีการพัฒนาอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายปัจจุบันเพิ่มกว่า 22 เท่า หรืออยู่ที่กว่า 20 ล้านล้านบาท ซึ่งหากตย้อนกลับไปในช่วงปี 2534 มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 9 แสนล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นในช่วงนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม

“มูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นวันนี้ มีขนาดที่โตกว่าจีดีพีของประเทศแล้ว เราจึงมั่นใจว่า การเก็บภาษีในช่วงนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะตลาดมีความเข้มแข็ง ดังนั้นภาษีตัวนี้ จึงควรนำมาใช้ให้เป็นสากล” นายลวรณ กล่าว
ทั้งนี้ การเก็บภาษีหุ้นนั้น มี 2 แนวทาง คือเก็บจากกำไรจากการซื้อขายหุ้น และเก็บจากการขายหุ้น ซึ่งในบางประเทศก็เก็บแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือเลือกใช้ทั้ง 2 แนวทาง แต่ประเทศไทยเลือกที่จะจัดเก็บแนวทางเดียว คือ เก็บจากการขายหุ้น ซึ่งนวทางนี้สะดวกต่อการจัดเก็บ และมีการจัดเก็บที่ต่ำกว่าแนวทางการเก็บภาษีจากกำไร โดยประเมินว่าการจัดเก็บภาษีขายหุ้นนี้จะมีรายได้เข้ารัฐต่อปีอยู่ 15,000-16,000 ล้านบาท
อย่างรก็ตาม การเก็บภาษีแนวทางนี้จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักลงทุนไม่มากนัก และมีอัตราการเสียภาษีต่ำ โดยปัจจุบันบัญชีที่เปิดเพื่อซื้อขายหุ้นอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบัญชี โดยในจำนวนนี้มีบัญชีที่คลื่อนไหวอยู่ประมาณ 1 ล้านบัญชี ซึ่งในจำนวนนี้มี 11% หรือประมาณ 1 แสนคน ที่เข้ามาเทรดหุ้นจำนวน 95% ของมูลค่าการซื้อขาย ส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มรายย่อย ซึ่งจากข้อมูลนี้จะเห็นได้ว่าจะกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยไม่มากนัก