
- ชี้รอผลการดำเนินการก่อน
- หากเพิ่มเป็นคนละ 6,000 บาท
- ต้องใช้เงินมากถึง 90,000 ล้านบาท
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้รับทราบข้อเสนอของ 40 ซีอีโอที่ได้เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแล้ว ที่เสนอให้เพิ่มเงินโครงการคนละครึ่ง การนำโครงการช้อปดีมีคืนกลับมาใช้ พร้อมเพิ่มวงเงินด้วยนั้น กระทรวงการคลัง ขอเวลาในการพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง ขณะเดียวกันต้องรอผลการดำเนินงานจากโครงการคนละครึ่ง และโครงการย่ิงใช้ย่ิงได้ และการเพิ่มกำลังซื้อในกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ได้เปิดให้เร่ิ่มใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2564
“หลายโครงการกำลังดำเนินการอยู่ ก็ต้องรอผลว่าเป็นอย่างไร และเกาะติดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19อย่างใกล้ชิดด้วย เพราะถือเป็นปัจจัยในการพิจารณามาตรการเพื่อแบ่งเบาบรรเทาความเดือนร้อนประชาชน ซึ่งขณะนี้กระทรวงคลัง ได้ปรับเพิ่มวงเงินโครงการย่ิงใช้ย่ิงได้แล้วจากวันละ 5,000 บาท เป็น 10,000 บาท ดังนั้นต้องรอผลสรุปก่อน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเสนอของ 40 ซีอีโอนั้น เสนอให้เพิ่มวงเงินโครงการคนละครึ่ง จากปัจจุบันจะได้รับเงินคนละ 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท หากกระทรวงการคลังรับข้อเสนอดังกล่าว จะต้องใช้เงินมากกว่า 90,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ เพื่อให้การใช้เงินดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนการนำโครงการช้อปดีมาคืนกลับมาใช้ แล้วเพิ่มวงเงินนั้น สามารถกลับมาใช้ได้ แต่ต้องพิจารณาวันเวลาที่เหมาะสมที่จะกลับมาใช้ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปี หรือเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด เริ่มคลี่คลาย เลิกการล็อกดาวน์ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเร่ิมดำเนินการ เช่น การเปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และอื่นๆ เป็นต้น แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะทุกอย่างยังล็อกดาวน์
สำหรับยอดผู้้ลงทะเบียนคนละครึ่ง ณ วันที่ 26 ก.ค. 2564 มีการลงทะเบียนแล้ว 29.81 ล้านคน เหลืออีก 1.19 ล้านคน จะครบ 31 ล้านคน โดยปัจจุบันมีผู้ที่ลงทะเบียนและได้ใช้สิทธิ์คนละครึ่งแล้ว 27 ล้านคน โดยมีการจับจ่ายใช้สอย ทำให้เกิดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 40,000 ล้านบาท ส่วนโครงการย่ิงใช้ย่ิงได้ มีลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว 460,901 คน เหลืออีก 939,099 คน จะครบ 1.4 ล้านคน ซึ่งที่ผ่านมามีการยอดการใช้จ่ายแล้วเกือบ 600 ล้านบาท










