คลัง ชงแผนอุ้มเอสเอ็มอี 100,000 ล้านบาท เข้าครม 7 ม.ค.นี้



  • ให้บสย.ช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก-มีหนี้NPL
  • เล็งปรับเกณฑ์ให้บสย.จ่ายเงินค้ำประกันให้ธนาคารพาณิชย์
  • หวังปรับโครงสร้างหนี้เอสเอ็มอีก่อนถูกฟ้องร้อง

นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยหรือเอสเอ็มอีแล้ว โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 7  ม.ค.นี้กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการสนับสนุนเอสเอ็มอี เสริมแกร่ง เพิ่มทุนสร้างไทย เข้าถึงแหล่งเงินทุน  เข้าที่ประชุม โดยใช้วงเงินรวมกว่า 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีกว่า 100,000 ราย

ทั้งนี้จะแบ่งการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเอสเอ็มอีที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่ยังเป็นหนี้ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ (NPL)ซึ่งคิดเป็น 50% ของจำนวนเอสเอ็มอีทั้งหมด โดยจะให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันค้ำประกันสินเชื่ออยู่ที่ 30% เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

“ส่วนการขยายวงเงินค้ำประกันเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้นจะต้องให้ครม.เป็นผู้ตัดสินใจก่อน ส่วนเรื่องเงินที่จะช่วยเลหือ ในเบื้องต้นได้หารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วว่าจะนำเงินจากกองทุนเอสเอ็มอีของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท จากจำนวนทั้งหมด 10,000 ล้านบาท มาช่วยเหลือเอสเอ็มอีกลุ่มนี้”

2.กลุ่มที่เป็นหนี้ NPL และกำลังจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งคิดเป็น 20% ของจำนวนเอสเอ็มอีทั้งหมดนั้น กระทรวงการคลังจะเปิดทางให้บสย.จ่ายเงินให้กับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ก่อนเพื่อให้เอสเอ็มอีเหล่านี้ เข้าสู่ระบบปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารพาณิชย์ จากเดิมต้องมีการฟ้องร้องบสย.จนถึงคดีสิ้นสุดบสย.จึงจะจ่ายเงินค้ำประกัน 30% ให้กับธนาคารพาณิชย์ไปปรับโครงสร้างหนี้ให้เอสเอ็มอี

อย่างไรก็ตามการเปิดทางให้ลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ก่อนฟ้องร้อง จะทำให้ธนาคารพาณิชย์มีระยะเวลาปรับโครงสร้างหนี้ถึง 7 ปี  จากเดิมธนาคารพาณิชย์จะมีเวลาปรับโครงสร้างหนี้ให้เอสเอ็มอีหลังฟ้องร้องเพียง 5 ปี ซึ่งส่งผลดีทำให้เอสเอ็มอีเหล่านี้ไม่มีประวัติถูกฟ้องร้องและทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นในกลุ่มนี้ได้

ส่วนกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มเอสเอ็มอีปกติ แต่ต้องการเงินทุนเพิ่ม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ซึ่งคิดเป็น 30% ของจำนวนเอสเอ็มอีทั้งหมด โดยกลุ่มนี้จะใช้วงเงินของสินเชื่อพิเศษของธนาคารกรุงไทยจำนวน 60,000 ล้านบาท และธนาคารออมสิน 40,000 ล้านบาท รวมถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์อื่นที่จะมาเข้าเพิ่มเติมด้วย

“มาตรการทั้งหมดนี้ผ่านการหารือระหว่างสมาคมธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สถาบันการเงินของรัฐบาลแล้ว และคาดว่าการช่วยเหลือเอสเอ็มอีจะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลเศรษฐกิจในช่วงต้นปีนี้ให้สามารถเติบโตต่อไปได้  โดยกระทรวงการคลังอยากเห็นเศรษฐกิจปีนี้เติบโตอยู่ในระดับ 2.8-3% อย่างไรก็ตามมาตรการช่วยเอสเอ็มอีครั้งนี้ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณใหม่แม้แต่บาทเดียว แต่ที่ต้องเสนอเข้าครม.เนื่องจากมีการปรับเงื่อนไขการช่วยเหลือเอสเอ็มอีจากมติครม.ครั้งก่อน”

ส่วนมาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งนั้น ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อย่างใกล้ชิด แม้จะยังไม่ได้จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาเสถียรภาพทางการเงินเสร็จสิ้น  โดยยังไม่มีแนวคิดใช้มาตรการภาษีเพื่อชะลอค่าเงินบาท  และกระทรวงการคลังยังมีเครื่องมือที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้อีกมาก ส่วนในอนาคตกระทรวงการคลังจะมีมาตรการดูแลผู้บริโภค และกลุ่มอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อไป