

“จุลพันธ์” ยืนยันแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ย้ำต้องแจกคนจำนวนมาก แจงเหตุเกณฑ์ตัดสิทธิ์คนรวย
- ชี้หากแจกเฉพาะกลุ่มเปราะปาง ตามข้อเสนอ “แบงก์ชาติ-สภาพัฒน์” ไม่ถือว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ
- เผยนายกฯ เศรษฐา เดินมาตบบ่าให้กำลังใจ ย้ำให้เดินหน้าโครงการต่อ
- ยืนยันในส่วนของหุ้น สลากออมทรัพย์ ที่ดิน จะไม่นำมาใช้ในเกณฑ์แบ่งชั้นในการตัดสิทธิ์
วันนี้ (26 ต.ค.66) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวานนี้ได้แถลงข่าวถึงความคืบหน้าการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ถึงการกำหนดกลุ่มในการได้ร่วมโครงการเป็น 3 กลุ่ม แล้วมีเสียงสะท้อน มีคำถามจากสังคมมากมาย ทั้งนี้ สำหรับสาเหตุที่คณะอนุกรรมการฯ มีการกำหนด ออกมา 3 กลุ่ม เพื่อพิจารณาแนวทางในการจ่ายเงินนั้น จากการพูดคุยในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้มีข้อเสนอให้ดูแลเฉพาะกลุ่มเปราะบางเป็นหลัก ซึ่งมีอยู่ประมาณ 15-16 ล้านคน เนื่องจากมองว่า ขณะนี้เศรษฐกิจและการบริโภคของไทย เริ่มฟื้นตัวกลับมาแล้ว
“หลังมีข้อเสนอดังกล่าว ในที่ประชุมก็มีความเห็นต่าง เนื่องจากมองว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิต และการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพใหญ่ยังมีความสำคัญ หากใช้เม็ดเงินงบประมาณไปเพียง 1.5 แสนล้านบาท อาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งใจไว้”
ทั้งนี้ ในส่วนการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเกณฑ์คนรวยนั้น กรณีกำหนดเกณฑ์ตัดสิทธิ์ผู้ที่มีความพร้อมทางสังคม ที่มีรายได้ 25,000 บาท หรือมีเงินฝากในบัญชี 100,000 บาท และกลุ่มผู้มีรายได้เดือนละ 50,000 บาท หรือมีเงินฝากในบัญชี 500,000 บาทนั้น ในข้อมูลส่วนนี้เป็นตัวเลขที่มีอยู่ในภาครัฐสามารถชี้วัดได้ชัดเจน
“เหตุปรับเกณฑ์จ่ายเงินดิจิทัล วอลเล็ต ทางภาครัฐพร้อมรอฟังเสียงสะท้อนากนักวิชาการ และประชาชนทั้งประเทศว่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งหลังแถลงข่าววานนี้ ต่างมีการแสดงความคิดเห็นกันมากมาย โดยช่วงเช้าวันนี้ได้เดินทางไปรัฐสภาก็ได้รายงานผลการประชุมให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ซึ่งนายกฯ ก็ไม่ได้มีข้อทักท้วงถึงเรื่องการกำหนดเกณฑ์ตัดสิทธิ์กลุ่มผู้มีรายได้สูงแต่อย่างใด โดยท่านฟังรายงานเสร็จก็ตบบ่า พร้อมกล่าวให้กำลังใจเอ่ยให้เดินหน้าโครงการต่อ พร้อมบอกว่าการเมืองก็เป็นเช่นนี้”
นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า ในที่ประชุมมีการหารือกันเสมอว่า หากมีความจำเป็นต้องตัดกลุ่มคนรวยออกต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน โดยหากจะดูทรัพย์สินอย่างอื่นในการแบ่งเกณฑ์ อาทิ ที่ดิน ก็ไม่สามารถชี้ชัดได้ หรือดูหุ้นในพอร์ต ก็วัดความชัดเจนได้ยาก เนื่องด้วยตลาดหุ้นมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ซึ่งชัดเจนที่สุด คือเลือกใช้เกณฑ์รายได้ที่มาจากการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรมสรรพากร และเงินฝากในบัญชี ที่สามารถตรวจสอบได้
“จากนี้คงต้องไปหารือถึงรายละเอียดเกณฑ์การแบ่ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เหมาะสม โดยยืนยันว่าจะไม่มีการนับรวมสินทรัพย์อื่นๆ เช่น สลากออมทรัพย์ พันธบัตร มารวมในการแบ่งเกณฑ์ ขอยืนยันว่า รัฐบาลจะยังเดินหน้าโครงการนี้ต่อโดยส่วนตัวมองว่า หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ ต้องเดินหน้าโครงการและต้องใช้จำนวนคนที่ 49 ล้านคน ภายใต้หลักเกณฑ์ เงินเดือน 50,000 บาท และหรือมีเงินในบัญชี 500,000 บาท น่าจะเป็นหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้แล้วก็ขึ้นอยู่กับตัดสินใจของคณะกรรมการชุดใหญ่ที่จะตัดสินใจเลือกทางไหน ซึ่งอาจจะไม่เลือกทั้ง 3 แนวทางเลยก็ได้”
นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ในโครงการ ด้วยการใช้เงินงบประมาณผูกผัน 4 ปีนั้น ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ ถึงข้อกฎหมาย พ.ร.บ.งบประมาณแล้ว โดยพบว่าในส่วนนี้ไม่มีปัญหา ซึ่งสามารถดำเนินการได้ ซึ่งจากนี้คงต้องรอคณะกรรมการชุดใหญ่เห็นชอบอีกครั้ง ซึ่งในการดำเนินการจะต้องดูให้ละเอียดรอบคอบอีกครั้ง