คลังออกกฎกระทรวงดึงหน่วยงานภาครัฐหันมาใช้สินค้าในประเทศไม่น้อยกว่า 60% อุ้มเอสเอ็มอี



  • กรณีการก่อสร้างต้องใช้เหล็กในประเทศไม่น้อยกว่า90%
  • หวังให้มียอดขายเพิ่มและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยในงานแถลงข่าวสินค้าไทย FTI-Made in Thailand สู่การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐว่า กระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อจ้างของหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้หันมาใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและกลุ่มสตาร์ทอัพให้สามารถเข้ามาให้บริการสินค้าแก่หน่วยงานภาครัฐได้มากขึ้นและยังมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้อีกทางหนึ่ง

“สินค้าที่ผลิตในประเทศนั้น ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศอยู่แล้ว เราก็อยากให้ประชาชนในประเทศหรือหน่วยงานภาครัฐได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งผลิตในประเทศไทยให้มากขึ้น เจึงแก้ไขระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศได้เข้าถึงการให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐมากขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเรื่องดังกล่าวเมื่อ 22ธ.ค.ที่ผ่านมา”

ทั้งนี้ ประโยชน์ของการแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้าง คือ ผู้ประกอบการในประเทศจะสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น ทำให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ๆ และ เกิดธุรกิจใหม่ๆที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิตอล สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

อย่างไรก็ตามกระทรวงการคลังจะพยายามเร่งรัดให้การจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานภาครัฐเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนและการจัดซื้อต่างๆลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในปีงบประมาณนี้จะมีโครงการจัดซื้อหน่วยงานภาครัฐราว 5 ล้านโครงการ วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท

ด้านนางสาววนิภา ลำเจียกเทศ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมฯได้ส่งหนังสือเวียนไปยังหน่วยงานภาครัฐต่างๆเกี่ยวกับระบบการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว โดยสาระสำคัญของสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยสำหรับการจัดซื้อจัดจ้างนั้น กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดซื้อวัสดุที่ผลิตภายในประเทศในส่วนของงานจัดจ้างกำหนดให้หน่วยงานรัฐใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศไม่น้อยกว่า 60% ของพัสดุที่ใช้ในงานจ้างนั้นๆ

โดยงานก่อสร้างกำหนดให้ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศก่อนเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ต้องไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าหรือปริมาณเหล็กหรือเหล็กกล้าที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด หากหน่วยงานของรัฐไม่สามารถใช้เหล็กหรือเหล็กกล้าตามจำนวนดังกล่าวได้ ให้หน่วยงานของรัฐไปจัดซื้อวัสดุที่ผลิตภายในประเทศให้มีสัดส่วนครบถ้วนตามอัตราที่กำหนด

อย่างไรก็ตาม กรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่สามารถใช้สินค้าตามอัตราที่กำหนดไม่ว่าจะเกิดจากการขาดแคลนหรือเกิดจากผู้ประกอบการไทยที่ไม่สามารถผลิตได้ทัน หรือเหตุผลอื่นๆ จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ที่มีอำนาจเหนือขึ้นไปหนึ่งชั้นก่อน ซึ่งกรมฯได้กำหนดแจ้งหนังสือเวียนแนวทางปฏิบัติให้หน่วยงานภาครัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดว่า หลังจากนี้ หน่วยงานภาครัฐจะทยอยออกเงื่อนไขการจัดซื้อตามลำดับต่อไป

นอกจากนี้ เรายังกำหนดเพื่อเป็นแต้มต่อให้ผู้ประกอบการในประเทศด้วยว่า กรณีผู้ประกอบการในประเทศเสนอราคาสูงกว่าราคาต่ำสุดของผู้ประกอบการต่างประเทศ ให้หน่วยงานภาครัฐเลือกผู้ประกอบการในประเทศแทน ทั้งนี้ การเสนอราคาแข่งขันต้องมีผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 3 ราย และสำหรับมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างที่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เรากำหนดให้จัดซื้อจัดจ้างให้เร็วขึ้นหรือไม่เกิน 3 วันทำการ

“ปัจจุบันมีสินค้าในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐจำนวนมากของกรมฯไม่ว่าจะเป็นวัสดุสำนักงาน วัสดุการศึกษา วัสดุครุภัณฑ์ยานพาหนะและขนส่ง วัสดุการเกษตร การจัดจ้างงานก่อสร้าง จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในประเทศ มาขึ้นทะเบียนสินค้าเมดอินไทยแลนด์กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย”