

- คาดปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทยจำนวน29.5ล้านคนขยายตัวที่164.6%ต่อปี
- มีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน1.3ล้านล้านบาท
- ชี้ยังต้องติดตามนโยบายการเงิน ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักอย่างใกล้ชิด
วันนี้ (25 เม.ย.66) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ว่า “เศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6% (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.1% ถึง 4.1%) ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ขยายตัวที่ 2.6% ต่อปี โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียและกลุ่มสหภาพยุโรปที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 29.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 164.6% ต่อปี และคาดว่ามีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 1.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 255.9% ต่อปี ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับด้านอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 4.1% (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.6% ถึง 4.6%) ตามรายได้ภาคประชาชนที่ฟื้นตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงช่วยให้การบริโภคเพิ่มขึ้น สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าขยายตัวที่ 2.3% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.8% ถึง 2.8%) จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจโดยรวม

นายพรชัย กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ผลของอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดและปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงในช่วงต้นปี 2566 ทำให้คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะหดตัวเล็กน้อยที่ -0.5% (ช่วงคาดการณ์ที่ -1.0% ถึง 0.0%)
นอกจากนี้ การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะหดตัวที่ -2.1% (ช่วงคาดการณ์ที่ -2.6% ถึง -1.6%) และการลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 2.6% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.1% ถึง 3.1%) ส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี2567 ที่ล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.6% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.1% ถึง 3.1%) ปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1.0% – 3.0% เนื่องจากราคาพลังงานโลกที่ลดลงทำให้แรงกดดันด้านอุปทานจากต้นทุนพลังงาน และราคาน้ำมันคลี่คลายลง

สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบริการมีแนวโน้มจะกลับมาเกินดุลตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะกลับมาเกินดุล 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น0.8% ของ GDP
“สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดมีทั้งปัจจัยสนับสนุน อาทิ 1.ภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติที่มีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ 2.สถานการณ์เงินเฟ้อที่ลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ส่งผลบวกต่อการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น และปัจจัยเสี่ยง อาทิ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและปัจจัยการผลิตต่างๆ”

ผู้สื่อข่าวรายงาน ในส่วนของการแถลงข่าววันนี้ ได้มีสื่อมวลชนสอบถามถึงนโยบายการหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ที่กำลังหาเสียงกันหนักหน่วง โดยแต่ละพรรคต่างชูโรงกันที่อัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แน่นอนต้องมีผลต่อสถานะการเงินการคลัง ในส่วนนี้นายพรชัย กล่าวว่า หากเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลเรียบร้อยรัฐบาลใหม่ก็ต้องมาแถลงแนวทางต่อสภาฯ ถึงการใช้งบประมาณ การจัดหารายได้ เพื่อนำมาใช้จ่าย โดยขณะนี้รัฐบาลจะเป็นการใช้งบประมาณระยะปานกลางของปีงบประมาณ 66