ครม.ไฟเขียววงเงินค่าสัมปทาน 29,050 ล้านบาท โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3



  • เจรจาได้เพิ่มขึ้นจากราคาที่เอกชนยื่นไว้ 12,051 ล้านบาท
  • แต่ต่ำกว่าที่ภาครัฐกำหนดไว้ 3,175 ล้านบาท
  • ชี้หากคัดเลือกเอกชนใหม่จะล่าช้า

น.ส.ไตรศุลี​ ไตรสรณกุล​ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​กล่าวว่า​ คณะรัฐมนตรี(ครม.)​อนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.)​เสนอ โดยค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV)ที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปร​ ที่ 100 บาทต่อทีอียู​ ซึ่งค่าสัมปทานคงที่ดังกล่าวต่ำกว่าผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐคาดหมายตามมติคณะรัฐมนตรี​เมื่อวันที่​ 30​ ตุลาคม​ 2561 มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ประมาณ 32,225 ล้านบาท หรือต่ำกว่าผลตอบแทนที่รัฐคาดหมายไว้ 3,175 ล้านบาท

ทั้งนี้สกพอ.รายงานว่า ในการเปิดเชิญชวนให้เอกชนร่วมลงทุนครั้งที่ 1 มีมายื่นเอกสารข้อเสนอ 1 ราย แต่ขาดหลักประกันซอง คณะกรรมการคัดเลือกจึงมีมติว่าไม่ผ่านการประเมิน ส่วนครั้งที่ 2 มีเอกชนยื่นข้อเสนอ 2 ราย มีผู้ผ่านการประเมิน 1 ราย คือกลุ่มกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ในกลุ่ม บมจ.ปตท (PTT) บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด(GPC) โดยการประเมินข้อเสนอซองที่ 4 ด้านผลประโยชน์ตอบแทนนั้น กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ได้เสนอให้ค่าสัมปทานคงที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV) ที่ 12,051 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อทีอียู ซึ่งค่าสัมปทานคงที่ดังกล่าวต่ำกว่าที่รัฐคาดหมายตามมติคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการคัดเลือกฯจึงได้เจรจาผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินกับกลุ่มกิจการร่วมค้าGPC จำนวน 6 ครั้ง โดยข้อเสนอสุดท้ายอยู่ที่ค่าสัมปทานคงที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรคงเดิมที่ 100 บาทต่อทีอียู

ขณะเดียวกันทางการท่าเรือแห่งประเทศไทยและสกพอ.ได้เสนอความเห็นร่วมกันว่า ผลตอบแทนโครงการเฉพาะส่วนของท่าเทียบเรือF จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน(FIRR)อยู่ที่ 11.01% และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ(NPV ) อยู่ที่ 30,032 ล้านบาท และหากนำมูลค่าที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมาคำนวณเป็นมูลค่าสุดท้าย(Terminal Value) จะมีอัตราผลตอบแทนทางการเงินอยู่ที่11.54% และมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิอยู่ที่ 39,959 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

ส่วนความเสี่ยงด้านผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทยนั้น เนื่องจากมูลค่าเงินลงทุนก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลงฉบัง ระยะที่ 3 ต่ำกว่าวงเงินลงทุนที่ได้ประมาณการไว้ รวม 5,161.06 ล้านบาท ทำให้มูลค่าการลงทุนท่าเทียบเรือ F เหลือ 13,786.67 ล้านบาท จากเดิม 15,954.74 ล้านบาท ส่งผลให้ต้นทุนของการลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในส่วนของท่าเรือF ตามหลักการการคำนวณเป็น 27,845 ล้านบาท ดังนั้น ข้อเสนอสัมปทานคงที่ของเอกชนจึงครอบคลุมความเสี่ยงด้านผลตอบแทนต่อเงินลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้รีบแล้ว

ทั้งนี้การอนุมัติให้เกิดการลงทุนจะทำให้ไม่ต้องมีการคัดเลือกเอกชนใหม่ที่ทำให้เกิดความล่าช้า โดยสำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประเมินว่าหากต้องมีการคัดเลือกเอกชนใหม่ จะมีผลกระทบต่อการเปิดดำเนินการของท่าเทียบเรือ F อาจล่าช้าไป 2 ปี จึงมีความเสี่ยงที่ท่าเรือแหลมฉบังจะไม่สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าได้ รวมถึงข้อจำกัดในการรองรับเรือสินค้าขนาดใหญ่ของท่าเรือในปัจจุบัน และกรณีที่มีการถมทะเลแล้วเสร็จแต่ไม่มีการร่วมลงทุนสร้างท่าเทียบเรือได้ทันที จะทำให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงโครงสร้างในส่วนดังกล่าว รวมทั้งภาครัฐยังมีความเสี่ยงที่จะไม่มีเอกชนยื่นข้อเสนอหรือเสนอผลตอบแทนต่ำกว่าเดิม เนื่องจากการระบาดของโควิด-19