ครม.เคาะลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่ออีก 2 เดือน ด้าน “อาคม” ชี้คลังสูญเสียรายได้จัดเก็บงบไม่เกิน 2 หมื่นล้าน



  • ขยายเวลามาตรการเป็นเวลา 2 เดือน เริ่มตั้งแต่ 21 พ.ย.65 – 20 ม.ค.66
  • นายกฯ ลั่นต้องเข้าใจภาระในการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งตนไม่อยากสร้างภาระให้รัฐบาลต่อไป
  • ชี้ราคาน้ำมันดิบโลกลดลงก็จริง แต่ราคาขายปลีกดีเซลในไทยยังไม่ลง

วันนี้ (15 พ.ย.65) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่จะหมดอายุในวันที่ 20 พ.ย. 2565 เพื่อพยายามตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ให้มากที่สุดเพราะเราใช้เงินสูงมากทั้งในส่วนของไฟฟ้าและพลังงาน

“อะไรที่เป็นปัญหาและเกิดผลกระทบโดยรวมต้องเข้าใจภาระในการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งตนไม่อยากสร้างภาระต่อให้รัฐบาลต่อไป โดยรัฐบาลได้ลดภาษีต้องกู้เงินและต้องค้ำประกัน ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยจำนวนมาก แต่พยายามทำให้ดีที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงแผนรับมือพลังงานในช่วงฤดูหนาว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีอย่างเดียวต้องดูราคาพลังงานให้ดี และต้องดูต้นทุนการผลิตว่ามาจากไหนอะไรอย่างไร ตอนนี้กำลังแยกว่าอะไรมาจากพลังงานหมุนเวียน อะไรมาจากพลังงานฟอสซิล และกำลังดูว่าภาคการผลิตพลังงานของไทย ซึ่งมีหลายส่วนด้วยกันทั้งจากน้ำมัน จากแก๊สหรืออื่นๆขณะที่หลายอย่างก็มีการปิดโรงงาน พร้อมกันนี้ต้องดูเรื่องภาวะโลกร้อนจึงต้องคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบ ขยายเวลามาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล จำนวนลิตรละ 5 บาท เป็นเวลา 2 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2565 – 20 ม.ค. 2566 โดยจะทำให้คลังสูญเสียรายได้ในการจัดเก็บงบประมาณอีกไม่เกิน 20,000 ล้านบาท 

“แม้ว่าราคาน้ำมันดิบโลกจะลดลงแล้วก็จริง แต่ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไทยยังไม่ลง และยังสูงกว่าราคาที่อ้างอิงอยู่ รวมทั้งกองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงยังขาดสภาพคล่อง ซึ่งแม้ว่าขณะนี้จะเริ่มกู้ได้ก็ตาม ดังนั้นกระทรวงการคลังยังคงต้องอุดหนุนต่อไป” นายอาคม กล่าว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวยังถามต่อว่า หลังจากนี้จะมีการขยายมาตรการต่อไปอีกหรือไม่ นายอาคม กล่าวว่า ก็ต้องรอดูรอบนี้และติดตามสถานการณ์ต่อไป โดยการขยายเวลาลดภาษีน้ำมัน เป็นการบรรเทาเรื่องราคาสินค้า และต้นทุนให้แก่ประชาชน