ครม.เคาะขยายเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พร้อมยุติกองทุน BSF



  • ปรับลดอัตราเงินนำส่งลงกึ่งหนึ่ง ออกไปอีก 1 ปี จาก 0.25% ต่อปี เป็น 0.125% ต่อปี
  • เพื่อช่วยลดต้นทุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ พร้อมขอให้ส่งผ่านความช่วยเหลือไปให้กับลูกหนี้
  • ยุติกองทุน BSF เหตุมีความจำเป็นลดลงจากภาวะตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนทำงานได้เป็นปกติแล้ว

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เห็นชอบ 1.การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ 2.การยุติการดำเนินการของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้

1.การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ลงกึ่งหนึ่ง ออกไปอีก 1 ปี จากร้อยละ 0.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.125 ต่อปี (ร้อยละ0.0625 ต่องวด) ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 2566 ต่อเนื่องจากที่ปรับลดลงมา3 ปี เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและขอให้ส่งผ่านความช่วยเหลือและผ่อนปรนภาระให้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนด้วย 

2.การยุติกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (Corporate Bond Stabilization Fund) หรือกองทุน BSF เนื่องจากกองทุนตั้งขึ้นเพื่อเสถียรภาพและสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) 

ทั้งนี้ แต่ปัจจุบัน มีความจำเป็นลดลงจากภาวะตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนทำงานได้เป็นปกติผู้ออกตราสารหนี้ส่วนใหญ่สามารถระดมทุนได้ตามจำนวนที่เสนอขาย ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงลดลง และรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดหลายด้านเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว

นายพรชัย กล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลังได้กำชับให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดูแลและช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ การยุติกองทุน BSF จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ และกระทรวงการคลังยังคงติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเพื่อดูแลทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป