คมนาคม แจง 4 ข้อ ค้านขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว



  • พร้อมโชว์ตัวเลขที่เป็นผลการศึกษาของกรุงเทพมหานครเอง
  • ชี้ชัดว่าหลังหมดสัมปทาน หากภาครัฐเป็นผู้บริหารการเดินรถเอง จะเกิดประโยชน์สูงสุด
  • ทั้งเรื่องการมีกระแสเงินสดเหลือมากกว่า 435,132 ล้านบาท
  • เผยการกำหนดราคาค่าโดยสาร ก็จะเป็นธรรม ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้มากกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกกระทรวงคมนาคมว่า เมื่อเวลา 16.00 น. นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม, นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)และนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราได้เปิดแถลงข่าว กรณีการเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว

โดยนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวยืนยันว่า กระทรวงคมนาคมยืนยัน 4 ประเด็นสำคัญที่เคยเสนอความเห็นแก่คณะรัฐมนตรี  1. กระทรวงคมนาคมยึดหลักความถูกต้องและผลประโยชน์ของประชาชนผู้ใช้บริการโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับค่าโดยสารที่จะมีจากปัจจุบันไปถึงปี 2602 ซึ่งเห็นว่ารถไฟฟ้าทุกระบบจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบตั๋วร่วมเพื่อให้เกิดอัตราค่าโดยสารที่เป็นธรรม

2. โครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีบันทึกลงนามในข้อตกลงร่วมกัน ที่จะรับโอนให้กรุงเทพมหาคร(กทม.) ทาง กทม. ยังไม่เคยจ่ายค่าชดเชยในการก่อสร้างให้กับ รฟม. ครบ และการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันกับ กทม. ทางรฟม. ให้กทม.เข้าพื้นที่  เพื่อจัดเดินรถให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน เท่านั้น  ส่วนภาระหนี้สินที่ กทม. มีการว่าจ้างเอกชนเข้ามาเดินรถนั้นทาง รฟม. ยืนยันว่าไม่ได้รับทราบหนี้สินในส่วนที่กทม.ไปว่าจ้างเอกชนเดินรถแต่อย่างใด

3. ขณะที่กรมการขนส่งทางราง(ขร.)ได้เผยข้อมูลตามผลศึกษาที่เป็นของกรุงเทพมหานครเ เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์  โครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวในช่วงระยะเวลาที่ถูกอ้างอิงว่าจะมีการขยายสัมปทานถึงปี 2602 มีตัวเลขชัดเจนว่ากรณีหมดสัมปทาน และ รัฐเป็นผู้ดำเนินการเองระหว่างปี 2562 ถึง 2602 โครงการจะมีกระแสเงินสดสุทธิเป็น467,822 ล้านบาท แต่หากเอกชนดำเนินเข้ามาดำเนินการแทน กทม.จะมีกระแสเงินสดเพียง 32,690 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งทำให้เห็นว่าหากภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการเดินรถเอง จะทำให้รัฐมีกระแสเงินสดมากกว่าให้เอกชนดำเนินการถึง 435,132 ล้านบาท และที่สำคัญ การที่รัฐเป็นผู้บริหารโครงข่ายเองจะมีนัยยะสำคัญในการกำหนดค่าแรกเข้าของโครงข่ายระบบไฟฟ้าทั้งหมดเป็นอัตราที่เหมาะสมและช่วยแก้ปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ทำให้ผู้โดยสารทุกกลุ่มสามารถเข้าใช้บริการรถไฟฟ้าได้

4 .ที่ผ่านมา รฟม .ยังยืนยันถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างและที่ดินตลอดแนวโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายทั้ง 2 ช่วง และปัจจุบันยังไม่สามารถโอนหนี้สิน จากการก่อสร้างช่วงหมอชิต-คูคต และ กระทรวงคมนาคม ได้ทำหนังสือทวงถามถึง กทม เป็นระยะแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของ การโอนกรรมสิทธิ์ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น ขณะนี้ได้มีการนัดหมายเบื้องต้นระหว่างกระทรวงคมนาคมและ กทม. แล้ว ซึ่งจะมีหารือร่วมกันภายในเดือน ก.พ.นี้