คนไทยเห็นด้วยรัฐทำโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต”

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจเกี่ยวกับเงินดิจิทัล วอลเล็ต พบประชาชนมากถึง 77.3% เห็นด้วย

  • เพราะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อ ช่วยคนจน
  • แต่ไม่อยากให้กู้เงินมาใช้จ่ายเหตุก่อหนี้ระยะยาว
  • ลอยกระทงปีนี้เงินสะพัดแตะหมื่นล้านบาทในรอบ 8 ปี 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยถึงสำรวจทัศนะผู้บริโภค 1,240 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 14-20 พ.ย.66 เกี่ยวกับเงินดิจิทัล วอลลเล็ตว่า ประชาชนมากถึง 77.3% เห็นด้วยตั้งแต่ระดับน้อยมากถึงเห็นด้วยมาก ที่รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินดิจิทัล และมากถึง 94.4% อยู่ภายใต้เงื่อนไขได้รับเงินดิจิทัล มีเพียง 5.6% ไม่ได้รับ ส่วนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้มี 22.7% 

สำหรับกลุ่มที่ได้รับเงินดิจิทัล มากถึง 71.6% จะลงทะเบียนรับสิทธิ์ และอีก 28.4% ไม่ลงทะเบียน เพราะไม่สะดวกกลับไปใช้สิทธิในพื้นที่ตามทะเบียนบ้าน, ไม่อยากให้รัฐบาลกู้เงินมาใช้เพราะจะเป็นหนี้สู่ลูกหลาน, เงินส่วนใหญ่จะกลับไปสู่ผู้ประกอบการรายใหญ่, ยุ่งยากในการใช้, กังวลข้อมูลรั่วไหล และกลัวถูกมิจฉาชีพหลอก 

ส่วนเมื่อถามว่า เห็นด้วยกับการออกพ.ร.บ.เงินกู้ เพื่อนำมาใช้ในโครงการนี้หรือไม่ มากถึง 50.6% ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นการก่อหนี้ระยะยาว, เป็นภาระให้คนรุ่นหลัง, คอรัปชันได้ง่าย และอีก 49.4% เห็นด้วย เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ช่วยคนมีรายได้น้อย, ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ

อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยน้อยที่จะเริ่มต้นใช้เดือนพ.ค.67, ใช้เงินภายในอำเภอตามทะเบียนบ้าน, ระยะเวลาใช้ 6 เดือน, ใช้ซื้อของผ่านออนไลน์ไม่ได้, ร้านค้าต้องอยู่ในระบบภาษี, เงื่อนไขการได้รับสิทธิ์ที่กำหนดเงินเดือนไม่เกิน 70,000 บาท และมีเงินในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท นอกจากนี้ ยังสอบถามมาตรการลดค่าครองชีพทั้งลดราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ลดค่าไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่า ช่วยลดค่าครองชีพได้มาก และส่วนใหญ่คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังปี 67 

นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ยังได้สำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายประชาชนช่วงวันลอยกระทง ซึ่งพบว่า บรรยากาศคึกคักและสนุกสานกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้มีมูลค่าการใช้จ่ายมากถึง 10,000.5 ล้านบาท แตะระดับหมื่นบาทครั้งแรกในรอบ8 ปีนับจากปี 59 และมีอัตราการขยายตัว 3.3% เมื่อเทียบกับปี 65 ที่มีมูลค่าใช้จ่าย 9,686 ล้านบาท 

“แม้ค่าใช้จ่ายสูงสุดรอบ 8 ปี และประชาชนรู้สึกสนุกกว่าปีก่อน แต่ยังคนระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะคนตอบว่า ใช้จ่ายลดลงจากปีก่อน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า คนยังรายได้ไม่พอใช้จ่าย ราคาสินค้าแพง สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เด่นชัด แต่คนก็รู้สึกว่า เศรษฐกิจไม่แย่ เพียงแค่มีสัญญาณนิ่งๆ ซึมๆ อยู่ในช่วงชะลอตัวแต่คนก็ยังหวังว่า ไตรมาส 4 ปีหน้าเป็นต้นไป เศรษฐกิจจะฟื้น เพราะเงินดิจิทัล จะเริ่มใช้จ่ายเดือนพ.ค.67 ซึ่งจะช่วยกระตุก กระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับ การส่งออก และการท่องเที่ยวที่คาดจะดีขึ้นกว่าปีนี้ ส่วนปีนี้ คาดว่า เศรษฐกิจจะเติบโต 2.4-2.5%”