คนอาเซียนยังกังวล เศรษฐกิจฉุดกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์



  • รอความหวัง “วัคซีนต้านไวรัสโควิด19”
  • อัศวินขี่ม้าขาว
  • ช่วยกระตุ้นความมั่นใจซื้อบ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัยล่าสุดใน 4 ตลาดหลักของอาเซียน เผยมุมมองและเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่น่าสนใจ เมื่อต้องมองหาที่อยู่อาศัยท่ามกลางความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นตัวแปรสำคัญ ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ จากภาครัฐมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ 

นอกจากนี้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาและส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ ปัจจุบันสิงคโปร์ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้ว ด้านมาเลเซียจะเริ่มโครงการฉีดวัคซีนในวันที่ 24 ก.พ. นี้ ในขณะที่ไทยแม้จะมีการยืนยันและเตรียมการขนส่งวัคซีนล็อตแรกไว้แล้วแต่ยังไม่มีรายละเอียดวันเวลาในการเริ่มฉีดที่ชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างเลี่ยงไม่ได้

ชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่ (56%) มองว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ราคาอสังหาฯ มีความผันผวนมากขึ้น โดย 1 ใน 2 เผยว่าความไม่คุ้นเคยในการยื่นเอกสารเป็นอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่พวกเขาต้องเผชิญ ตามมาด้วยมีเงินดาวน์ไม่เพียงพอ (39%) แม้ชาวสิงคโปร์จะยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยแต่ต้องยอมรับว่าเรื่องค่าใช้จ่ายยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่น้อย ผู้บริโภคส่วนใหญ่ 49% คาดหวังให้ภาครัฐออกมาตรการลดเงินดาวน์เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องการซื้ออสังหาฯ ในตอนนี้ ต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐปรับลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มมากกว่า อย่างไรก็ดี 3 ใน 5 ของชาวสิงคโปร์ (60%) ตั้งใจจะซื้อบ้านเป็นของตัวเองภายใน 2 ปีนี้

ครึ่งหนึ่งของชาวมาเลเซีย (52%) มองว่าราคาอสังหาฯ มีความไม่แน่นอนมากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ เช่นเดียวกับชาวสิงคโปร์ โดยเมื่อต้องเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย ชาวมาเลเซียจะพิจารณาจากประเภทที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรกถึง 49% ตามมาด้วยขนาดที่อยู่อาศัย (38%) และราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ (38%) ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ได้แก่ ทำเลที่ตั้ง และความปลอดภัยในการดำรงชีวิต (76% และ 66% ตามลำดับ) นอกจากนี้ สภาพคล่องทางการเงินถือเป็นอุปสรรคสำคัญของชาวมาเลเซียเมื่อต้องขอสินเชื่อบ้าน โดย 52% เผยว่ายังมีเงินดาวน์ไม่เพียงพอ และส่วนใหญ่ต้องการมาตรการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการซื้อขายในตลาดอสังหาฯ ถึง 68%

และ52% ของชาวอินโดนีเซียเห็นว่าการแพร่ระบาดฯ ส่งผลให้ต้องชะลอการซื้อ-ขายอสังหาฯ ออกไป ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับประเภทการถือครองกรรมสิทธิ์อสังหาฯ มาเป็นอันดับแรกเมื่อมองหาที่อยู่อาศัยถึง 65% ตามมาด้วยการออกแบบและการก่อสร้างของโครงการ 35% นอกจากนี้สองอันดับแรกของปัจจัยภายนอกโครงการที่ใช้พิจารณาเป็นหลัก คือ ความสะดวกของระบบขนส่งสาธารณะ และทำเลที่ตั้งของโครงการ (59% และ 57% ตามลำดับ) อย่างไรก็ตาม ชาวอินโดนีเซียมองว่าหน้าที่การงานที่ไม่มั่นคงและรายได้ที่ไม่แน่นอนถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการขอสินเชื่ออสังหาฯ ถึง 63% สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน และกว่า 4 ใน 5 ของผู้บริโภค (85%) ต้องการให้ภาครัฐช่วยลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่ม

ขณะที่ผู้บริโภคไทย 56% ตัดสินใจชะลอการซื้อขายอสังหาฯ ช่วงนี้ออกไป เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดฯ เมื่อต้องเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคไทยยังคงให้ความสำคัญกับขนาดที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน (48% และ 44% ตามลำดับ) ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการจะพิจารณาจากทำเลที่ตั้ง และการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะมาเป็นอันดับต้น ๆ (54% และ 50% ตามลำดับ) โดยเหตุผลยอดนิยมในการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่มาจากความต้องการพื้นที่ส่วนตัวถึง 47% ต่างจากชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียที่เลือกซื้อเพื่อลงทุนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ชาวไทยส่วนใหญ่ 60% มองว่าอุปสรรคหลักเมื่อต้องขอสินเชื่ออสังหาฯ มาจากความไม่มั่นคงในอาชีพและรายได้ ซึ่งกว่าครึ่ง (52%) หวังให้ภาครัฐออกมาตรการ/นโยบายลดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย

#TheJournalistClub #โควิด19 #JNC #ดีดีพร็อพเพอร์ตี้