

- เดือนพ.ย.ดีดขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สูงสุดรอบ 9 เดือน
- แต่ดัชนีเสถียรภาพการเมืองต่ำสุดรอบ 14 ปี 3 เดือน
- คนไทยห่วงการเมือง-เศรษฐกิจฟื้นช้า-ว่างงานทำชะลอใช้จ่าย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.63 ที่สำรวจประชาชน 2,241 คนทั่วประเทศว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และปรับตัวสูงสุดในรอบ 9 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.63 เป็นต้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 45.6 เพิ่มขึ้นจาก 43.9 ในเดือนต.ค.63 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 50.0 เพิ่มขึ้น 49.0 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 61.6 เพิ่มจาก 59.9 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค อยู่ที่ 52.4 เพิ่มจาก 50.9 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ 36.3 เพิ่มจาก 35.1 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต อยู่ที่ 60.1 เพิ่มจาก 58.5
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกรายการ มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ คนละครึ่ง และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการดีขึ้น โดยเฉพาะข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และปศุสัตว์ ส่งผลให้กำลังซื้อในหลายจังหวัดเริ่มดีขึ้น แม้ผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองไทย หลังจากมีการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้งในเดือนต.ค. จนทำให้ดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวต่ำสุดในรอบ 171 เดือน หรือ 14 ปี 3 เดือน โดยดัชนีเดือนพ.ย.อยู่ที่ 23.0 ลดจาก 24.7 ในเดือนต.ค.63 และดัชนีในอนาคต อยู่ที่ 29.4 ลดจาก 31.4 รวมถึงยังกังวลภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และการว่างงานในอนาคต ที่เกิดจากผลกระทบเชิงลบของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดัชนีดีขึ้นทุกรายการ แต่ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าที่ระดับปกติ คือ ระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงย่ำแย่จากปัญหาการเมืองในประเทศ และวิกฤต โควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นอย่างมากเกี่ยวกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน และในอนาคต
“คาดว่าผู้บริโภคยังคงชะลอการใช้จ่ายอย่างมากไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาสที่ 1 ปี 64 หรือจนกว่าโควิด-19 ของโลกจะคลายตัวลง ซึ่งต้องติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมในช่วงไตรมาสที่ 4 ว่าจะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใด และสถานการณ์ทางการเมืองจะดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอนาคตเป็นอย่างมาก”