

- ผลศึกษาม.ออกซ์ฟอร์ดชี้ชัดหลังศึกษาในประชากร 29 ล้านคน
- ยันคนติดเชื้อ 10 ล้านคนเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน 1.2 หมื่นคน
- แต่คนฉีดแอสตรา 10 ล้านคนเสี่ยงแค่ 66 คนแนะเร่งฉีดวัคซีน
ผลศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่ตีพิมพ์ในวารสาร บริติช เมดิคอล ชี้ว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันสูงกว่าผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกากว่า 200 เท่า
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การศึกษาครั้งนี้ ได้รวบรวมข้อมูลจากประชากร 29 ล้านคนของอังกฤษ พบว่า ผู้ที่เกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันจากการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาอยู่ที่ 66 รายต่อผู้ที่รับวัคซีน 10 ล้านคน ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการลิ่มเลือดอุดตันถึง 12,614 รายต่อ 10 ล้านคน
สิ่งสำคัญที่นักวิจัยพบคือ ความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากการฉีดวัคซีน จะเป็นความเสี่ยงเพียงระยะสั้น แต่ความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อ จะเป็นความเสี่ยงที่ยาวนานกว่า และยังพบอีกว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จะยิ่งสูงขึ้นสำหรับคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ นับเป็นการรวบรวมศึกษาข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยนักวิจัยได้เก็บข้อมูลทาง การแพทย์ของประชากร 29 ล้านคนในอังกฤษ ทั้งในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 และกลุ่มที่ได้รับวัคซีนจนถึงช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบกรณีที่มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นภายใน 28 วัน หลังการฉีดวัคซีน หรือหลังการติดเชื้อ โดยพบว่า ผู้ที่เกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันจากการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกามี 66 รายต่อผู้ที่รับวัคซีน 10 ล้านคน ขณะที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอาการลิ่มเลือดอุดตันถึง 12,614 รายต่อ 10 ล้านคน
ขณะที่ผู้ที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี mRNA ในการผลิต แตกต่างจากวัคซีนแอสตราเซเนกา นั้น ไม่พบความเชื่อมโยงใดๆ ระหว่างการฉีดวัคซีนกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ดังนั้น งานวิจัยชิ้นนี้จึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่า โอกาสที่จะเกิดภาวะลิ่มเลือดจากการฉีดวัคซีนยังน้อยกว่าการติดเชื้อโควิดหลายเท่า ดังนั้นประชาชนควรรีบฉีดวัคซีน เพื่อลดความเสี่ยงภาวะโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ ดีกว่าจะเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 และเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ที่สูงกว่าเดิม
ศาสตราจารย์ อซิส ชีค หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่า ความเสี่ยงของภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่เกิดขึ้นกับวัคซีนต้านโควิด- 19 ของแอสตราเซเนกาคล้ายคลึงกับวัคซีนอื่นๆ ที่เคยใช้ในอังกฤษมาก่อน เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ ยังพบความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองกับกลุ่มที่ได้รับวัคซีนจากไฟเซอร์เกิดขึ้นราว 143 ราย จากผู้รับวัคซีนไฟเซอร์ 10 ล้านคน แต่ความเสี่ยงนี้จะพบในช่วง 15-21 วันหลังจากรับวัคซีนแล้วเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคนที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว พบว่า เสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าถึง 10 เท่า หรือ 1,699 รายต่อคนที่ติดเชื้อ 10 ล้านคน โดยมีความเสี่ยงเป็นในช่วง 28 วัน หลังติดเชื้อ แต่ไม่พบความเชื่อมโยงของความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองกับวัคซีนแอสตราเซเนกา
ส่วนการเกิดภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน ในกลุ่มผู้ที่รับวัคซีนแอสตราเซเนกา พบว่า มีความเสี่ยง อยู่ที่ 7 ราย ต่อ 10 ล้านคน ขณะที่ผู้ป่วยโควิดจะมีความเสี่ยงภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน 20 ราย ต่อ 10 ล้านคน
ด้านศาสตราจารย์ จูเลีย ฮิปพิสลีย์ ค็อกซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาคลินิก จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผู้เขียนงานวิจัยดังกล่าว ระบุว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ เหล่านี้จะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากการรับวัคซีนเท่านั้น ขณะที่คนที่ติดเชื้อโควิดจะมีช่วงเวลาความเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ยาวนานกว่า