

- หวั่น สำนักงาน กสทช. ชงรายงานบิดเบือนให้บอร์ดไฟเขียวรวมกิจการ
- ด้านอนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ชี้ หากให้ควบรวมจีดีพีลดลง 3 แสนล้าน
- ด้านอนุกรรมการด้านกฎหมาย เผยการรวมธุรกิจ ที่มีอำนาจเหนือตลาด กสทช.ก็ไม่สามารถอนุมัติได้
- ลั่นกรอบการทำงาน และการหากรณีศึกษาที่ กสทช.ให้เวลามานั้นน้อยเกินไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีมติลงวันที่ 27 เม.ย.2565 ที่ผ่านมา เพื่อแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์กรณีการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค จำนวน 4 คณะ ประกอบด้วยอนุกรรมการด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง อนุกรรมการด้านกฎหมาย อนุกรรมการด้านเทคโนโลยีและอนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีกรอบเวลาให้หาข้อสรุปเพื่อทำรายงานเสนอมายังบอร์ด กสทช.เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินการหรือไม่
ทั้งนี้ ล่าสุดหลังจากที่อนุกรรมการได้ประชุมกันในชั้นของตัวเองเป็นเวลากว่า 2 เดือน ผลสรุปที่เสนอส่งเป็นรายงานให้แก่คณะทำงานประสานงานคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์กรณีการรวมธุรกิจของทรูและดีแทค ที่มีนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. และรักษาการเลขาธิการ กสทช. นั้น ผลปรากฎว่า อนุกรรมการทั้ง 4 คณะได้ลงมติ 3:1 ไม่เห็นด้วยกับการรวมธุรกิจดังกล่าว
โดย 3 อนุกรรมการที่คัดค้าน ประกอบด้วย อนุกรรมการด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง อนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ และอนุกรรมการด้านเทคโนโลยี ส่วนอนุกรรมการ 1 เสียงที่เห็นด้วยกับการรวมธุรกิจคือ อนุกรรมการด้านกฎหมาย
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากอนุกรรมการ กล่าวว่า อนุกรรมการทั้ง 4 ชุด ประชุมแยกกันและบางชุดเพิ่งประชุมเสร็จเมื่อวันที่ 20 ก.ค.65 โดยได้ทำรายงานส่งไปแล้ว แต่ขณะนี้มีความกังวลว่า สำนักงาน กสทช.ที่เป็นผู้รวบรวมผลการศึกษาและข้อสรุปต่างๆของอนุกรรมการ มีความพยายามแต่งถ้อยคำ และบิดเบือนความเห็นของอนุกรรมการ โดยไฮไลท์ข้อดีของการควบรวมแล้วสรุปไปว่า อนุกรรมการมีความเห็นว่า ควรอนุญาตให้ควบรวม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดจากเจตนารมร์ของคณะอนุกรรมการทั้ง 4 ชุด แม้จะมีมติไม่เอกฉันท์ แต่ถือว่าเสียงส่วนใหญ่ก็คัดค้านการควบรวมครั้งนี้ อีกทั้งมีข้อสังเกตว่า การอนุมัติดังกล่าว มีความพยายามรวบรัดทำให้จบในช่วงก่อนวันหยุดยาว เพื่อให้การร้องเรียนหรือร้องค้านไม่สามารถทำได้ทันที

ทั้งนี้ หลังจากที่อนุกรรมการทั้ง 4 ชุด ได้ส่งรายงานให้แก่คณะทำงานฯชุดของนายไตรรัตน์แล้ว คาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด กสทช. ภายในสัปดาห์หน้าราววันที่ 26-27 ก.ค.นี้ โดยจะเป็นไปตามกรอบเวลาที่บอร์ดได้ให้สำนักงาน กสทช. และคณะทำงานฯ ไปดำเนินการ โดยตามเดิมต้องแล้วเสร็จภายใน 60 วันหลังจากบอร์ดมีมติไปเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2565 แต่ทางสำนักงาน กสทช.อ้างว่ารายงานของอนุกรรมการทั้ง 4 ชุด มีจำนวนมากจึงต้องรวบรวม ดังนั้น บอร์ดจึงลงมติในวันที่ 6 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา เพื่อแต่งตั้งคณะทำงานฯ ชุดนายไตรรัตน์ ขึ้นมาโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ในเวลาถัดมาไม่นาน เมื่อวันที่ 8 ก.ค. นายไตรรัตน์ ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางกำหนดมาตรการเฉพาะ เพื่อป้องกันผลกระทบจากกรณีการรวมธุรกิจ แสดงว่า สำนักงานฯ อาจจะมีเจตนารมย์ให้เกิดการอนุมัติควบรวมแบบมีเงื่อนไขหรือไม่
อนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ชี้ หากให้ควบรวม จีดีพีลดลง 3 แสนล้าน
ผศ.ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล รองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อนุกรรมด้านเศรษฐศาสตร์สรุปผลการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์จากการควบรวม โดยใช้แบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (CGE Model) ว่าหากมีการควบรวม จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP growth) ลดลง ตามระดับราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้น
โดยช่วงที่จีดีพีติดลบจะอยู่ระหว่าง 0.05-1.99% ซึ่งกรณีดีที่สุด คือ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 10% และไม่มีการร่วมมือกันระหว่างผู้ให้บริการที่เหลือ (No collusion) จีดีพีจะลดลง 0.05% หรือคิดเป็นมูลค่า 8,243.9 ล้านบาท แต่กรณีเลวร้ายที่สุด คือ ประสิทธิภาพไม่เพิ่มขึ้น และมีการร่วมมือกันในระดับสูง (Cartel) จีดีพีจะลดลง 1.99% หรือคิดเป็นมูลค่า322,892.1 ล้านบาท
นอกจากนี้ ค่าบริการสื่อสารไร้สายที่จะเพิ่มขึ้นหลังการควบรวมทรูและดีแทคจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 0.05-2.07% โดยระดับความรุนแรงของผลกระทบกรณีการควบรวมจะขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ประกอบการเป็นสำคัญ ส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพมีผลน้อย ในขณะที่ระดับความร่วมมือของผู้ประกอบการจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยิ่งเหลือน้อย ยิ่งร่วมมือกันง่าย , ยิ่งขนาดใกล้เคียงกันเท่าไรยิ่งร่วมมือกันง่าย และสุดท้ายอยู่ที่ประสิทธิภาพการกำกับดูแลของ กสทช.
กสทช.มองไม่เห็นอำนาจของตัวเอง
ด้านอนุกรรมการด้านกฎหมาย รองศาสตราจารย์ ดร.ภูมินทร์ บุตรอินทร์ ให้ความเห็นว่า หากพิจารณาตามประกาศปี49 แล้วนั้น ในกรณีการรวมธุรกิจหรือกิจการ ที่มีอำนาจเหนือตลาด กสทช.ก็ไม่สามารถอนุมัติได้ ซึ่งอีกส่วนที่สำคัญคือ กรอบการทำงานและการหากรณีศึกษาที่ กสทช.ให้เวลามานั้นน้อยเกินไป
อีกหนึ่งในคณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย นายกนกนัย ถาวรพานิช อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นเสียงส่วนน้อยที่คัดค้านการควบรวม กล่าวว่า ในด้านประเด็นความคลุมเครือเกี่ยวกับอำนาจของ กสทช. สามารถตีความมาตรการในข้อนี้ ให้รวมถึงคำสั่งห้ามการควบรวมได้ อีกทั้งกฎหมายในข้อนี้เพียงยกตัวอย่างมาตรการเฉพาะที่ กสทช. สามารถกำหนดได้เพื่อรักษาการแข่งขัน สังเกตได้จากข้อความว่า “มาตรการเฉพาะตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึง…” กสทช.จึงสามารถกำหนดมาตรการเฉพาะอื่นใดรวมทั้งการสั่งห้ามการควบรวมเพื่อรักษาการแข่งขันในตลาดได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ข้อ 8 ของประกาศ 2549 (ประกอบข้อ 5 และ 9 ประกาศ 2561) ยังให้อำนาจ กสทช. ห้ามการควบรวมหรืออนุมัติแบบมีเงื่อนไข สำหรับการควบรวมระหว่างผู้ประกอบธุรกิจที่ให้บริการประเภทเดียวกัน (เช่น ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และการเชื่อมต่อโครงข่าย เช่นเดียวกัน) ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมโดยทางตรงหรือทางอ้อมหรือผ่านตัวแทนก็ตาม
หากการควบรวมนั้นอาจส่งผลให้เกิดการผูกขาด หรือลด หรือจำกัดการแข่งขันในตลาดการให้บริการโทรคมนาคมดังนั้นหากปรากฏข้อเท็จจริงว่า การควบรวมไม่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของค่าดัชนีการวัดการกระจุกตัวของตลาด (HHI) ในระดับที่กฎหมายกำหนดตามประกาศ 2561 อย่างไรก็ตาม ประกาศ ปี 2549 ก็ยังให้อำนาจ กสทช. ในการพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติควบรวมอยู่ดี
หากตีความประกาศและกฎหมายที่เกี่ยวข้องของ กสทช. ทุกฉบับจนสุดทางแล้วไม่พบว่า กสทช. มีอำนาจในการตรวจสอบว่าการควบรวมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตนยังมองว่า พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 (พ.ร.บ.แข่งขันฯ) สามารถนำมาใช้บังคับได้ ในมาตรา 4(4)”
ควบรวมสำเร็จผู้บริโภครับกรรม!!
ประธานอนุกรรมการด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กล่าวว่า หากมีการอนุญาตให้รวมธุรกิจระหว่างทรูและ ดีแทคจะส่งผลกระทบต่อสังคมและผู้เกี่ยวข้อง อาทิ ซัพพลายเออร์ และเอกชนที่ทำธุรกิจกับค่ายมือถือทั้ง 2 ค่าย เช่น SMS content หรือ content partners ต่างๆ แต่ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ผู้ใช้บริการหรือประชาชนที่เป็นลูกค้า เพราะมีรายงานผลการศึกษาว่า ค่าบริการอาจแพงขึ้น 20% จากการที่ธุรกิจโทรคมนาคมมีการผูกขาด เพราะจะมีผู้ให้บริการเหลือ 2 ราย
“ถามว่าผู้บริโภคจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร เพราะเมื่อของมีจำกัด แต่มีแค่ 2 รายใหญ่ ที่ขายสินค้าในตลาด แล้วราคาอาจจะแพงขึ้น 20% และเราจะไม่ใช้ ก็ไม่ได้ เพราะถ้าจะไปเลือก บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติหรือ เอ็นที ก็มีMVNO (ผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน) มาเสนอข้อมูลให้ฟังว่าเอ็นทีมีเฉพาะบริการ 3G เท่านั้น ไม่มี 4G และ 5G ถ้าใครอยากใช้ 4G และ 5G ก็ต้องไปผูกขาดกับ 2 รายใหญ่เท่านั้น
ดังนั้น ลูกค้าจึงมีอำนาจในการปกป้องตัวเองต่ำ ส่วนที่มีการโต้แย้งว่า ที่นักวิชาการพูดมาและที่ผู้บริโภคเสนอมา เป็นแค่การคาดการณ์ทางทฤษฎี แม้ว่าตรงนี้จะยังไม่สิ่งที่ไม่เกิดขึ้น แต่มีสิ่งที่ต้องหา คือ โอกาสที่จะเกิดขึ้นมีมากน้อยอย่างไร ซึ่งทางวิชาการเรียกว่า หลักการพยากรณ์ที่เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับ ไม่ใช่การมโน ไม่ใช่การคาดการณ์ล้วนๆ แต่มีหลักวิชาการ และมีตัวอย่างในต่างประเทศรองรับ
นอกจากนี้ ยังมีคำพยากรณ์มาว่า ถ้าการควบรวมธุรกิจทำให้เกิดการผูกขาด จะทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ เช่นอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลกระทบจากค่าบริการที่แพงขึ้น และมีต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งตรงนี้จะทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงด้วย
นวัตกรรมสร้างเองได้ไม่เกี่ยวควบรวม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ด้านเทคโนโลยีระบุไว้ว่า กรณีไม่อนุญาตให้ควบรวม จะส่งผลให้ ดีแทคซึ่งมีความถี่และความจุโครงข่ายต่ำ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการรองรับความต้องการของลูกค้า เป็นเหตุให้ดีแทคต้องลงทุนเพิ่มเติม หากต้องการประกอบกิจการต่อไป เพื่อเพิ่มความจุในการรับ-ส่งข้อมูลและใช้เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น Multi operator core network (MOCN)
นอกจากนี้ กสทช.อาจเห็นสมควรให้มีการจัดสรรคลื่นความถี่เพิ่มเติมหรือปรับปรุงกฎหมายโดยเปิดให้ผู้ประกอบการต่างราย สามารถร่วมใช้คลื่นความถี่เดียวกันได้ ดังนั้น หากดีแทคไม่ลงทุนเพิ่มเติมจะเสียเปรียบเป็นอย่างมากประกอบกับการเกิดนวัตกรรมหรือบริการรูปแบบใหม่ๆ เช่น เมตาเวิร์ส รถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทพึงดำเนินการ หรือเป็นมาตรการที่ กสทช.ควรส่งเสริม ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรวมธุรกิจแต่อย่างใด
อีกทั้ง หากไม่อนุญาตให้ควบรวม การแข่งขันในตลาดก็ไม่ลดลง เนื่องจากบริษัททั้ง 3 ไม่มีประโยชน์ร่วมกัน และจำเป็นต้องทำธุรกิจต่อไป โดยที่บริษัทดีแทคไม่ได้มีการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แต่อย่างใด ขณะที่ทรูกับเอไอเอส มีให้บริการดังกล่าว ดังนั้น ดีแทค จำเป็นต้องนำเสนอบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงอย่างเดียว จึงต้องมีอัตราค่าบริการที่จูงใจ และจะยิ่งทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด เพราะแม้ว่าจะมีบริการอื่นๆ เสริมแต่อย่างไรก็ตาม บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังถือเป็นบริการหลักที่มีสัดส่วนผู้ใช้งานและสัดส่วนรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม