

วันที่ 20 ส.ค.2564 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ในกรุงเทพฯสามารถฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุแล้วกว่า 94% รองลงมาเป็นปทุมธานี 63% คาดว่าในสิ้นเดือนส.ค.จะใกล้เคียงกับเป้าหมายหรือเกินเป้าหมาย สำหรับจำนวนวัคซีนที่เข้ามาในประเทศไทยในขณะนี้มีวัคซีนที่เข้ามาสู่ประเทศไทย 30 ล้านโดส ซึ่งเมื่อวัคซีนเข้ามา จะมีการตรวจในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย หลังจากนั้นจะกระจายไปจุดฉีดต่างๆ
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ส.ค. มีจำนวนวัคซีนเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในเดือนก.ย. เป็นต้นไป กระทรวงสาธารณสุข จะมีการเจรจากับแอสตร้าเซนเนก้าเป็นระยะ และมีเจตจำนงที่ต้องการวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางบริษัทได้มีการตอบสนองอย่างเช่นเดือนก.ย. มีการส่งสัญญาณว่าจะมีการส่งวัคซีนให้กับประเทศไทย 7.2 ล้านโดส เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีวัคซีนเข้ามาเรื่อย
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า แนวโน้มจากการฉีดวัคซีนพบว่า อาจจะจำเป็นต้องใช้เข็มที่ 3 เนื่องจากหลังฉีดวัคซีนไป 2 เข็ม ไม่ว่าวัคซีนยี่ห้ออะไรก็ตามภูมิคุ้มกันจะตกลง เพราะฉะนั้นการฉีดเข็ม 3 จะทำให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ดังนั้นในปี 2565 จึงมีความจำเป็นจะต้องหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อมาฉีดใน 2 กลุ่ม คือกลุ่มเด็ก และกลุ่มบูสเตอร์โดส เพราะฉะนั้นคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้เสนอความเห็นและผ่านความเห็นชอบจากศบค.ว่า ในปี 2565 จะต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมให้กับคนไทยอย่างน้อย 120 ล้านโดส รวมถึงให้มีวัคซีนที่มีหลายหลายในการฉีด
ขณะนี้สถาบันวัคซีนแห่งชาติได้แสดงเจตจำนง และประชุมหารือกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนในหลายบริษัททุกรูปแบบ ก็ได้โดยมีความจำนงที่จะนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์อย่างน้อย 50 ล้านโดส และแอสตร้าเซนเนก้าอีก 50 ล้านโดส อย่างไรก็ตามมีหลายบริษัทที่ผลิตวัคซีนรุ่นใหม่ที่สามารถต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์เพิ่มมากขึ้น หรือเรียกว่าวัคซีนรุ่นที่ 2 ถ้าบริษัทสามารถผลิตวัคซีนโดยมีผลวิจัยยืนยันว่ามีประสิทธิภาพและความปลอดภัย ขอให้บริษัทส่งมอบวัคซีนรุ่นที่ 2 ให้กับไทย ส่วนรุ่นจำนวน และระยะเวลาจัดส่งจะมีการเจรจากันต่อไป