การยาสูบฯ หวังธุรกิจสารสกัดจากกัญชา-กัญชง ช่วยเพิ่มรายได้ที่หดหาย



  • หลังส่วนแบ่งการตลาดบุหรี่ในประเทศลดลงเหลือ 55 %
  • เล็งนำที่ดินของการยาสูบที่อยู่จังหวัดต่างๆปล่อยให้เอกชนเช่า

นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย(ยสท.)​ กล่าวว่า ขณะนี้การยาสูบแห่งประเทศไทย กำลังอยู่ในระหว่างการยกร่างกฎกระทรวง เพื่อให้การยาสูบแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการปลูกและผลิตสารที่ได้จากกัญชาและกัญชง ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่า จะเป็น ยา เครื่องสำอาง เป็นต้น

ทั้งนี้แม้ว่าตาม พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)​ยาสูบ จะกำหนดให้การยาสูบแห่งประเทศไทยสามารถผลิตใบยาสูบ และรวมถึงพืชอื่นได้ก็ตาม แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า การยาสูบแห่งประเทศไทย มีความสามารถในการศึกษา วิจัย ต่อยอดในเงินพาณิชย ในกัญชาและกัญชง จึงได้หารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)​ และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ออกกฎกระทรวง ตาม พ.ร.บ.ยาสูบ ให้การยาสูบแห่งประเทศไทยสามารถดำเนินการในธุรกิจดังกล่าวได้

“โอกาสของธุรกิจในการผลิตสารที่เป็นประโยชน์ในกัญชาและกัญชง น่าจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งสามารถช่วยทดแทนรายได้ของชาวไร่ใบยาสูบและการยาสูบที่ลดลง จากผลของโครงสร้างภาษียาสูบในช่วงที่ผ่านมาได้”

ทั้งนี้ผลของโครงสร้างภาษียาสูบ ทำให้รายได้ของเกษตรกรที่ขายใบยาสูบให้กับการยาสูบแห่งประเทศไทยลดลง จากที่เคยซื้อใบยาจากชาวไร่ 30 ล้านกิโลกรัมต่อปี ปัจจุบันเหลือเพียง 13 ล้านกิโลกรัมต่อปี ขณะที่กำไรต่อซองของการยาสูบที่เคยได้รับ 5-6 บาท/ซอง ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 50 สตางค์ต่อซองเท่านั้น

“หากสามารถทำให้ชาวไร่ยาสูบ หันมาปลูกกัญชาหรือกัญชงได้ จะทำให้รายได้ของชาวไร่ สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับการปลูกใบยาสูบ โดยรายได้ต่อไร่ของการปลูกใบยาสูบอยู่ที่ประมาณ 23,000 บาท ขณะที่รายได้ต่อไร่จากการปลูกกัญชา อยู่ราว 150, 000 บาท/ไร่”

ทั้งนี้การยาสูบแห่งประเทศไทย ถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีความพร้อมและประสิทธิภาพมากที่สุดในการปลูกกัญชาและกัญชงเพื่อการพาณิชย์ โดยการยาสูบแห่งประเทศไทยมีพื้นที่ของตัวเองในการปลูกใบยาอยู่ 4,900ไร่ และพื้นที่เพาะปลูกใบยาในเครือขายของการยาสูบที่ส่งใบยาขายให้กับการยาสูบอีก 60, 000 ไร่ ซึ่งศักยภาพในการเปลี่ยนมาปลูกกัญชาและกัญชงได้ ซึ่งมีระบบควบคุมไม่ให้นำกัญชาและกัญชงไปใช้เป็นสารเสพติดได้ ปัจจุบัน เกษตรกรที่ปลูกใบยามีทั้งหมด 14,000 ครอบครัวและเมื่อรวมแรงในการผลิตใบยาสูบ น่าจะมีคนที่เกี่ยวข้องกว่า 300, 000 คน

“โครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบในปัจจุบัน ที่กำหนดอัตราภาษี 2 อัตรา ส่งผลต่อรายได้ของการยาสูบแห่งประเทศไทยอย่างรุนแรง และทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของบุหรี่ของการยาสูบแห่งประเทสไทยที่เคยอยู่ที่ 78 % ปัจจุบันลดลงเหลือ 55 % เนื่องจากถูกบุหรี่นำเข้า มาตีตลาดโดยการส่งบุหรี่ราคาถูกมาแข่ง ซึ่งนอกจากกำไรของการยาสูบจะลดลงแล้ว ยังทำให้ภาษีสรรพสามิตที่การยาสูบเคยส่งให้กรมสรรพสามิตปีละ 60,000 กว่าล้านบาท ลดลงเหลือ 40,000 ล้านบาท”

นายภาณุพล กล่าวอีกว่า การยาสูบมีแนวความคิดที่จะนำที่ดินของการยาสูบที่อยู่กระจายตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งจำนวนมากเป็นที่ดินที่เป็นที่ดินที่อยู่ในกลางเมือง ออกมาให้เอกชนเช่า ซึ่งปีนี้น่าจะมีที่ดินแปลงใหญ่ 1 -2 แปลงที่จะสามารถนำมาให้เอกชนเช่าได้ เช่น ที่ดินบนถนนเจริญกรุง ใกล้ถนนตก ที่เป็นโกดังเก่าของการยาสูบ ติดกับเอเชียทิค และติดกับริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถือว่าเป็นทำเลที่ดีมากของกรุงเทพ