

“การบินไทย”ลั่น! หาเงินสดคืนหนี้ 1.2 แสนล้านบาท ครบ 8 ปีหน้า ปี 2567 ทุ่มปรับใหญ่เฉียด 2 พันล้านบาท-ปี 2570 เพิ่มฝูงบิน 110 ลำ
- การบินไทยผ่าแผนปี’66-70 ลุยทำ4เรื่องใหญ่ หาเงิน 1.2 แสนล้านบาท คืนเจ้าหนี้ครบ 8 ปีหน้า
- ปี’66หวังกำไร2หมื่นล้านเงินสด 5หมื่นล้าน Q3ปี’67ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ Q1ปี’68 นำบริษัทขายในตลาดหลักทรัพย์
- 2,000ล้านปรับใหญ่แพลตฟอร์มดิจิทัล อุปกรณ์เครื่องบิน ช่องทางขายออนไลน์ และเร่งเพิ่มฝูงบินใหม่ให้ครบ 110 ลำ
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยตั้งเป้าหมายการจัดทำแผนระหว่างปี 2566-2570 มีความพร้อมจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการภายในไตรมาส 3 ปี 2567 พร้อมกับนำบริษัทกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้ภายในต้นปี 2568 และจะทยอยชำระหนี้ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 120,000 ล้านบาท ให้กับลูกหนี้ให้ครบทั้งหมดภายในประมาณ 8 ปีหน้า ดังนั้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นไป จึงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจการบินเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพตามพันธกิจหลัก 3 อย่าง คือ เป็นสายการบินคุณภาพสูง เป็นศูนย์กลางบริการเครือข่ายเส้นทางบิน (Network Airlines) และมีเอกลักษณ์ไทย เป็นกุญแจความสำเร็จไปพร้อมกับการทำ 4 เรื่องหลัก ดังนี้

เรื่องที่ 1 เพิ่มกำไรให้ได้ปีละเกินกว่า 20,000 ล้านบาท พร้อมกับหาเงินสดสะสมให้ได้เกินกว่า 50,000 ล้านบาท จะเร่งทำต่อเนื่องปี 2566-2567 หลังจากครึ่งปีแรกสิ้นสุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 มีเงินสดสะสมแล้ว 51,153 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิได้ 14,795 ล้านบาท หากยิ่งทำให้ผลประกอบการดีขึ้นมากเท่าไร เงินสดก็จะมีมากขึ้น แล้วราคาหุ้นรอบใหม่ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
แต่ตอนนี้จะต้องบริหารจัดการลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นติดลบอยู่ 56,253 ล้านบาท ด้วย 2 วิธี 1.แปลงหนี้เป็นทุน 37,500 ล้านบาท ก็จะเหลือสัดส่วนผู้ถือหุ้นติดลบอยู่ประมาณ 19,000 ล้านบาท 2.ทำกำไรสุทธิปี 2566 ให้ได้เกิน 19,000 ล้านบาท ก็จะทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นติดลบหายไปได้ โดยการจัดการกับ 3 ตัวแปรหลัก ได้แก่
ตัวแปรที่ 1 การทำ “กำไรสุทธิ” เปรียบเทียบการดำเนินงานของการบินไทยและบริษัทย่อยครึ่งแรกปี 2566 ทำได้แล้ว14,795 ล้านบาท ต้องรักษามาตรฐานนี้ไว้ต่อในช่วงครึ่งหลังปีนี้แล้วทำให้กำไรรวมตลอดทั้งปีนี้ให้ได้เกิน 20,000 ล้านบาทขึ้นไป ผนวกกับปี 2567 เดินหน้าทำรายได้และกำไรต่อเนื่องต่อไป ตัวแปรที่ 2 กำไรก่อนหักค่าเช่าเครื่องบิน (EBITDA) ช่วงครึ่งปีแรก 2566 ทำได้แล้ว 23,361 ล้านบาท ตัวแปรที่ 3 การเพิ่มทุน ตามสมมุติฐานตั้งเป้าจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้ได้ถึง 40,000 ล้านบาท จากราคาหุ้นแปลงหนี้เป็นทุนอยู่ที่ 2.5452 บาท/หุ้น เมื่อเพิ่มทุนจะมีโอกาสขายได้ในราคาสูงกว่านี้แน่นอน แต่จะต้องประเมินผลอีกครั้งหลังมีงบการเงินอย่างชัดเจน

เรื่องที่ 2 ด้วยการจัดหาฝูงบินใหม่เข้ามาเพิ่มจำนวนที่นั่งบริการผู้โดยสาร อนาคตตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไปการบินไทยจะต้องมีเครื่องบินประมาณ 110 ลำ จากปัจจุบันมี 67 ลำ พร้อมกับรับสมัครลูกเรือเพิ่มตามจำนวนฝูงบิน ตอนนี้มีรวม 3,500 คน เป็นลูกเรือเก่า 3,000 คน และเพิ่งเปิดรับเพิ่มใหม่กำลังฝึกอบรมอยู่ 500 คน
ตามแผนจัดหาฝูงบินจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.เครื่องบินกำลังจะหมดสัญญาเช่า 2.เครื่องบินใหม่ที่จะเพิ่มจำนวนนั่งและรายได้ ตอนนี้ล็อตแรกเข้ามาเพิ่มได้แล้วเป็นแอร์บัส A350 จำนวนรวม 11 ลำ แต่ก็ต้องเร่งหาให้ครบตามเป้าหมายสอดคล้องตามวางแผนอนาคตเพื่อใช้เครื่องบินบริการ ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ ในตลาดอาเซียน อินโดจีน 20 % เอเชียทั้งในเกาหลี ญี่ปุ่น จีน และประเทศอื่น ๆ อีกกว่า 30 % ยุโรป 30 % ที่เหลือเป็นออสเตรเลียเกือบ 10 % ปัจจุบันมีเครื่องบินรวม 58 ลำ คือ A320 จำนวน 20 ลำ กับเครื่องบินลำตัวกว้างอีก 47 ลำ แต่ยังขาดฝูงบินลำตัวกว้างอยู่จำนวนมากจึงเป็นเหตุผลให้ต้องหาแอร์บัส A350 เข้ามาเพิ่มอีก 11 ลำ ทำให้มีเครื่องบินแบบลำตัวกว้างรวมแล้วจะได้ 58 ลำ
ส่วนสถานการณ์ตลาดขณะนี้กำลังแข่งขันกันหาเครื่องบินไกลขนาดใหญ่ลำตัวกว้างไว้รองรับความต้องการของผู้โดยสารอนาคต คือโบอิ้ง B787-9 กับแอร์บัส A350-900, A350-1000 ล่าสุดโบอิ้งผลิตเครื่องรุ่นใหม่ B77X มีขนาดใหญ่กว่า B777-300ER เพราะแบบของเครื่องบินแต่ละรุ่นจะมีผลต่อประสิทธิภาพการลงทุนด้วยเงื่อนไขเรื่องเครื่องยนต์ที่ติดตั้งมากับเครื่องบินแต่ละรุ่น ดังนั้นการบินไทยหรือสายการบินต่าง ๆ จำเป็นจะต้องใช้อำนาจการเจรจาต่อรองให้ได้มากที่สุดวิธีเดียวเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันโบอิ้ง B787-9 ใช้ GE กับโรลส์รอยซ์ ส่วนแอร์บัส A350-900, A350-1000 ใช้โรลส์รอยซ์เท่านั้น
เรื่องที่ 3 วางแผนลงทุนทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จะนำเงินสดสะสมขั้นต่ำรวม ๆ เกือบ 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้ 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ปรับปรุงเครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากร บริการทางดิจิทัลเทรนด์ใหม่ ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมแข่งขันกับตลาดทั่วโลก เพราะมีฝูงบินอายุมากใกล้หมดสัญญาเช่าช่วงปี 2569-2570 ได้แก่ โบอิ้ง B777-330ER จำนวนทั้งหมด 17 ลำ แบ่งย่อยเป็น 2 ส่วน คือ การบินไทยเป็นเจ้าของ (financial least) สามารถปรับปรุงได้ตามปกติมีไม่ถึง 10 ลำ และเช่าปฏิบัติการบิน (Operating least) จะต้องเจรจากับผู้ให้เช่าเครื่องบิน
ส่วนที่ 2 การลงทุนพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มครั้งใหญ่ทั้งระบบการบินจะใช้เงิน 400-500 ล้านบาท เพิ่มผลผลิตและรายได้ให้การบินไทยเต็มที่ เช่น รายได้จากการขายผ่านช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ แอพลิเคชั่น โดยจะทำเป็นเฟส เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2567 ใช้เวลาทำให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปีหน้า
ส่วนที่ 3 พัฒนาแพลตฟอร์ม ERP SAP ลงทุนอีกกว่า 1,000 ล้านบาท จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านบริการให้คำปรึกษาและวางระบบซอฟท์แอวร์แบบครบวงจร ตอนนี้ใกล้จะหมดสัญญาบริการแล้วปี 2568 (ปกติทำสัญญาจ้างประมาณ 5-10 ปี) จะต้องเริ่มศึกษาหาแพลตฟอร์มใหม่เข้ามาแทนภายให้ทันภายใน 2 ปีนี้

เรื่องที่ 4 เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพบริการร่วมกับธุรกิจสนามบินของไทย โดยการบินไทยจะจับมือกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” ขยับอันดับในเวทีโลกให้ดีขึ้น จากปัจจุบันนี้การบินไทยอยู่อันดับ 40 ส่วน AOT อยู่อันดับ 48 โดยมีเป้าหมายหลักต้องการทำให้คุณภาพบริการของทั้งสององค์กรดีขึ้น แล้วทำให้ได้รับการโหวตขยับขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของโลกได้ด้วย ล่าสุดได้นำเสนอโดยตรงกับ ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ AOT บ้างแล้ว นำร่องทำเรื่อง “หลุมจอดเครื่องบินในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ” อำนวยความสะดวกให้การบินไทยมีโซนจอดชัดเจน ทำให้ธุรกิจ วิน วิน ไปด้วยกัน
โดย “การบินไทย” จะได้ประโยชน์เรื่องช่วยลดต้นทุนขั้นตอนการเคลื่อนย้ายเครื่องบิน อุปกรณ์ แต่ละเที่ยวได้รวดเร็ว และทำให้ผู้โดยสารทุกเที่ยวบินลดเวลาใช้บริการต่อเที่ยวบินสั้นลงได้ ส่วน “AOT/ทอท.” ก็จะได้ประโยชน์เช่นกันคือสามารถจัดกิจกรรมและปริมาณจราจรขนส่งในสนามบินลดความวุ่นวายลงได้อย่างมาก รวมถึงยังคงรับรายได้จากการบินไทยตามปกติด้วย
ปัจจุบันการบินไทยกับไทยสมายล์มีส่วนแบ่งผู้โดยสารใช้บริการในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 28 % จากเดิมเคยทำได้กว่า 30 % เปรียบเทียบกับสายการบินที่ให้บริการอยู่ในสนามบินแห่งชาติของตนเอง (homebase) แล้วจะต้องมีไม่ต่ำกว่า 40 % ขึ้นไป แต่สัดส่วนดังกล่าวสะท้อนถึงการบินไทยเองทำได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) เนื่องจากไม่สามารถขยายการเติบโตได้ตามต้องการ เพราะฝูงบินใหม่เข้ามาเพิ่มปริมาณที่นั่งได้ ช่วงอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการได้พยายามหาเครื่องมาเพิ่มกำลังการผลิตที่นั่งโดยสารได้แล้ว 20 % ของทั้งหมด แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงต้อง “วางแผนระยะยาว” จัดหาเครื่องบินให้ได้ แต่ยังมีอุปสรรคเพราะผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกทั้งแอร์บัสและโบอิ้งไม่สามารถผลิตเครื่องบินได้ตามความต้องการของตลาดโลก ตอนนี้ในสต็อกผลิตเครื่องบิน (backlog) มีสายการบินสั่งจองทั้งเช่าและซื้อเป็นเจ้าของกันไว้หมดแล้ว การบินไทยต้องไปต่อคิวเป็นลูกค้ารายใหม่เป็นอีกหนึ่งความท้าทายซึ่งจะต้องทำให้สำเร็จต่อไป
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen