

- เครื่องช่วยพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ หรือเครื่องเอคโม – ECMO
- “หมอรามา”ย้ำถ้าคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันโรงพยาบาลและบุคลากรการแพทย์รับไม่ไหว
- วอนคนไทยทุกคนช่วยกัน อยู่บ้าน ลดไปที่แออัด เพื่อควบคุมการแพ่ระบาด
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กัลฟ์ ได้บริจาคเงิน 20 ล้านบาท ให้โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสนับสนุนการจัดซื้อเครื่องช่วยพยุงการทำงานของปอดและหัวใจ (เครื่องเอคโม – ECMO) เพื่อผู้ป่วยโรคโควิด-19 เนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปกรณ์การแพทย์ อาจไม่มีเพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วย กัลฟ์ ในฐานะบริษัทเอกชน ที่มีกำลังเงินจะสนับสนุนตามคำร้องของโรงพยาบาล ก็พร้อมดำเนินการทันที เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการก้าวข้ามผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน

“ตอนแรกทางนพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณะบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เชิญชวนบริจากสนับสนุนการซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว 10 ล้านบาท แต่เมื่อสอบถามถึงความจำเป็นในการใช้งาน และเห็นจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงขอสนับสนุนเป็นวงเงิน 20 ล้านบาท”
นายสารัชถ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ทุกคนกังวลเกี่ยวกับการระบาดไวรัสโควิด-19 โดยในส่วนการทำงานของกัลฟ์ ได้สลับการทำงานแล้ว บางส่วนทำงานที่บ้าน เพื่อลดความแออัดในที่ทำงาน ส่วนของโรงไฟฟ้าในต่างจังหวัด ก็ลดการพบปะกับชุมชน หรือไม่ให้จัดกิจกรรมใดๆกับชุมชนแล้ว ขณะที่พนักงานในต่างประเทศ ก็ให้อยู่แต่ในบ้าน ตามกฎกติกาของประเทศนั้น ส่วนอาหารการกินนั้น ได้สั่งอาหารเป็นการเฉพาะ แล้วจัดส่งให้พนักงานที่มาทำงาน โดยไม่ต้องลงไปหารับประทานเอง เพื่อลดการแออัดในทุกพื้นที่ ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส และควบคุมการแพร่ระบาด้วย

น.พ.ปิยะมิตร กล่าวว่า การจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าว จะนำไปไว้ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เนื่องจากเป็นสถานีที่รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ปัจจุบันมีอยู่ 48 เตียง เมื่อวันก่อน มีผู้ป่วยโควิด-19 มารักษาแล้ว 30 คน และวันนี้ (20 มี.ค.)มารักษาเพิ่มอีก 15 คน หากไม่พอ ก็อาจต้องให้จัดให้ผู้ป่วยพักเป็นคู่ เพื่อแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามการรักษาผู้ป่วยโควิด-19นั้น เป็นอาคารที่จัดไว้โดยเฉพาะ เพื่อแยกออกจากผู้ป่วยโรคปกติ ส่วนการรักษาในโรงพยบาลรามานั้น กรณีไม่ป่วยหนักฉุกเฉิน เช่น นัดผ่าตัดเข่า หรือกรณีไม่นัก ก็จะขอเลื่อนนัดออกไประยะหนึ่ง ผู้ป่วยที่มารับยา จากเดิมจะจ่ายยา ทุก 2 เดือน เปลี่ยนเป็น 6 เดือน ขณะที่การทำงานมหาวิทยาลัย ในส่วนใดทำงานที่บ้านได้ ก็ให้ทำ ส่วนใดที่ต้องมา ก็มา เพื่อลดการแออัดในโรงพยาบาลและที่ทำการ และป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ด้วย
รศ.ดร.แพทย์หญิงภัทรวัณย์ วรธนารัตน์ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประเทศไทย ต้องควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่ให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากทุกวันๆ มิเช่นกัน จะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะบุคลากรทางการแพทย์ ก็จะไม่มีเพียงพอต่อการรักษา ฉะนั้นการอยู่ที่บ้าน งดการเดินทาง งดไปสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก หรือลดการแออัด ก็เป็นการร่วมด้วยช่วยกัน ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ลงได้

“มีการตั้งสมมุติฐานว่าที่ผ่านมา หากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นวันละ 33% อีก 4วันไทยจะมียอดเพิ่มแตะ 1,000 คน อีก 10 วัน แตะ 5,000 คน และอีก 14 วัน แตะ 10,000 คน หากปล่อยเป็นให้อัตราการเพิ่มเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่มีบุลากรทางการแพทย์รองรับ และมาดูแลได้เพียงพอ หมอกระดูก จะมาช่วยดูอาการป่วยของปอด ก็ไม่มีความเชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ให้ยอดการป่วยเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด หากเพิ่มขึ้นแบบช่วงแรกๆ ที่ประเทศ มีผู้ป่วยไม่กี่คน หรือเพิ่มไม่มากในแต่ละวัน ระบบสาธารณสุขรับไหว รักษาไหว”