

- ชี้เสี่ยงผู้ซื้อสลากจากร้านสลาก 80 นำไปขายต่อแจ้งสลากหายหรืออายัด
- ส่งผลผู้ซื้อสลากต่อไปขึ้นเงินรับรางวัลจากสำนักงานสลากฯ ไม่ได้
- เนื่องจากผู้ซื้อจากร้านสลาก 80 มีหลักฐานการซื้อชัดเจน แนะดูรหัสเลขประทับบนสลาก
วันนี้ (7 มี.ค.66) นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยถึงกรณีดราม่าการขึ้นรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่มีตราโครงการสลาก 80 ประทับอยู่บนสลากว่า ทางสำนักงานสลากฯ ขอชี้แจงสำหรับผู้ที่มีสลากโครงการ 80 บาท แต่ไม่ได้ซื้อจากร้านโดยตรง ยังคงมีสิทธิ์สามารถขึ้นรางวัลได้ตามปกติอยู่เพราะตามระเบียบสำนักงานสลาดฯ จะจ่ายเงินรางวัลให้ผู้ที่ถือใบสลากฯ เป็นหลักอยู่แล้ว
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ซื้อที่ไปซื้อต่อจากบุคคลที่ซื้อจากร้านสลาก 80 แล้วนำมาจำหน่ายอีกที ก็อาจมีความเสี่ยงในการขึ้นรางวัลไม่ได้ เนื่องจากหากคนที่ซื้อสลากโดยตรงจากร้านสลาก 80 บาท ไปดำเนินการแจ้งความว่าสลากหาย หรืออายัดสลาก ผู้ที่ซื้อต่อไปก็จะไม่สามารถขึ้นรางวัลได้ โดยต้องไปตัดสินความถูกผิดกันต่อในชั้นศาลเฉกเช่นเหมือนกรณีหวยอลวนครูปรีชา
ทั้งนี้ ทางสำนักงานสลากฯ จึงขอรณรงค์ให้นักเสี่ยงโชคทั้งหลาย ให้ซื้อลอตเตอรี่จากร้านสลาก 80 โดยตรงเท่านั้นอย่าไปซื้อจากผู้ค้าที่มีการรวมชุดหรือขายเกินราคา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการขึ้นรางวัลตามมาทีหลัง
“ผู้ซื้อสลากหากไม่ได้ซื้อจากจุดจำหน่าย แต่ปรากฏว่ามีเครื่องหมายรหัสเลขประทับ แสดงว่าสลากใบนั้นเคยขายให้ใครมาก่อนแล้ว ซึ่งหากถูกรางวัลและมีการแจ้งอายัด ต้องมีการสืบสวนต่อไปว่า ผู้ซื้อคนแรกคือใครซึ่งผู้ซื้อคนแรกจะมีสิทธิในการรับเงินรางวัล ไม่ใช่ผู้ที่ซื้อจากแผงทั่วไป เนื่องจากในช่วงการซื้อจะมีข้อมูลประวัติผู้ซื้อ การจ่ายเงินผ่านแอปเป๋าตังไว้อย่างชัดเจน”
ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการสลาก 80 มีจุดจำหน่าย 1,047 จุด และมีสลากวางขายประมาณ 2.5 ล้านใบ ซึ่งการเปิดขายสลาก 80 บาท มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้ซื้อมีโอกาสเข้าถึงสลากในราคา 80 บาทมากขึ้น สำหรับตัวเลขที่มีการประทับอยู่บนใบสลาก ในส่วนของตัวเลขชุดแรกเป็นการเเสดงตัวเลขจังหวัด ตัวเลขชุดต่อมาแสดงถึงเขตอำเภอ และตัวเลขชุดสุดท้ายเเสดงถึงพื้นที่จุดที่จำหน่าย
อย่างไรก็ตาม สำหรับโทษความผิดกรณีร้านค้าที่อยู่ในโครงการสลาก 80 หากนำไปขายช่วงต่อหรือขายเกินราคา จะมีการลงโทษตัดสิทธิออกจากโครงการตลอดชีวิต ส่วนคนซื้อสลากโครงการ 80 นำไปรวมขายต่อเกินราคาก็จะมีความผิดโทษปรับสูงสุด 10,000 บาทต่อครั้ง ส่วนผู้ซื้อแม้ไม่มีความผิด แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจขึ้นรางวัลไม่ได้ตามมาภายหลัง