“กสิกรไทย” มองเศรษฐกิจไทยดิ่งลึกอีก 3 ปี กลับมาเท่าปี 62



  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเศรษฐกิจไทยปี 63 หดตัวลึก -6%
  • Social Distancing คนว่างงานต่อเดือน เพิ่มเป็น 1 ล้านคน
  • ท่องเที่ยว-รถยนต์-อสัหาริมทรัพย์หนักสุดปีหน้ายังไม่ฟื้น

..ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แม้จีดีพีไตรมาสแรกของปี 63 จะออกมาดีกว่าที่คาด แต่เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่เหลือของปี คาดว่าจะให้ภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หดตัวลึกขึ้น และจากปัญหาการจ้างงาน ขณะที่เศรษฐกิจต่างประเทศก็ยังน่ากังวล ทั้งในประเด็นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังอยู่ในระดับสูง และประเด็นการเมืองของสหรัฐฯ ทั้งในและระหว่างประเทศ ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพิจารณาปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้ หดตัว -6 % 

เศรษฐกิจไทยใช้เวลา 2-3 ปี ขนาดเศรษฐกิจ จะปรับขึ้นมาเท่ากับปี 2562 โควิด-19 ยังอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีวัคซีน ดังนั้นการทำธุรกิจภายใต้ Social Distancing หรือเว้นระยะห่างทางสังคม ตัวเลขการว่างงานต่อเดือนจากเดิม 400,000 คน ก็จะเพิ่มเป็น 1 ล้านคน เนื่องจากธุรกิจจ้างงานลดลง ตามจำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการลดลง

ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,000 ตัวอย่าง สะท้อนให้เห็นถึงการรับรู้จากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต มีการปรับพฤติกรรมในการเก็บออมและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งตอกย้ำถึงการรับรู้ด้านการใช้จ่ายครัวเรือนที่หดตัวลงกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยในส่วนของภาครัฐนั้น ด้วยระดับหนี้สาธารณะระยะสั้นที่ยังไม่น่ากังวล ทำให้พอมีทรัพยากรทางคลังในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและเยียวยาธุรกิจที่ประสบปัญหาในการฟื้นตัวหลังจากช่วงผ่อนคลายล็อกดาวน์นี้ 

ด้าน ..เกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจท่องเที่ยว รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ ถือเป็น 3 อุตสาหกรรมสำคัญที่คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าอุตสาหกรรมอื่น แต่หากมองจากมิติของการจ้างงาน ธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งมีแรงงานในห่วงโซ่มากถึง 4 ล้านคน จะเป็นธุรกิจที่ภาครัฐจะพุ่งเป้าหมายการเยียวยาไปที่ธุรกิจและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวเป็นอันดับต้น  โดยต้องยอมรับว่าธุรกิจหลักของไทยอาจใช้เวลามากกว่า 1 ปีในการฟื้นตัวให้กลับสู่ระดับก่อนเกิดเหตุการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19

สำหรับนโยบายการเงินยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญ โดยหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ยังสามารถทำได้ แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ได้แย่ถึงกับมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ ส่วนค่าเงินบาทของไทยจากนี้จนถึงสิ้นปีมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เป็นผลจากไทยควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดี และดุลการค้ายังเป็นบวก ทำให้มีเงินจากต่างประเทศไหลเข้า สิ้นปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ