

- กลุ่มบริษัทบางจากปลื้มปี’65 มีรายได้การขายและบริการ 312,202 ล้านบาท ทำ EBITDA พุ่ง 44,724 ล้านบาทเพิ่ม 73% จากปี 2564
- บริษัทใหญ่กำไรโด่ง 12,575 ล้านบาท ทุบสูงสุดในรอบเกือบ 4 ทศวรรษ ไตรมาส 4 ปี 2565 มีรายได้ 84,583 ล้านบาท EBITDA 6,951 ล้านบาท และกำไร 473 ล้านบาท
- ตอกย้ำวางแผนถูกทางเร่งปรับธุรกิจหลากหลายและสมดุลเน้นความมั่นคงและยั่งยืนด้านพลังงาน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทบางจากสร้างสถิติใหม่ทำผลดำเนินธุรกิจสปี 2565 สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ทั้งบางจากฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 312,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 57 % คิดเป็นกำไรก่อนหักภาษีต่างๆ หรือ EBITDA 44,724 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73 % ส่งผลให้มีกำไรงวดปี 2565 ส่วนของบริษัทใหญ่ 12,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 65 % คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.89 บาท (ไตรมาส 4 ปี2565 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 84,583 ล้านบาท EBITDA 6,951 ล้านบาท และกำไรของบริษัทใหญ่473 ล้านบาท)
โดยได้ปัจจัยหลักสนับสนุนจากธุรกิจโรงกลั่นฯ และการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำที่นอร์เวย์ แสดงถึงความสำเร็จจากการขยายและปรับเปลี่ยนธุรกิจให้หลากหลายและสมดุล ภายใต้โครงสร้างองค์กรคล่องตัวและการขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดครึ่งปีหลังของปี2565 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น

ผลการดำเนินงานที่สำคัญในแต่ละกลุ่มธุรกิจมีดังนี้
กลุ่มที่ 1 ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ปี 2565 มี EBITDA รวม 17,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 91 % จากความสามารถปรับตัว การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์และสร้างฐานลูกค้าใหม่ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน มี “อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยสูงสุด” 123,000 บาร์เรลต่อวัน ตลอดทั้งปี 2565 เพิ่มขึ้น 24 % จากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปฟื้นตัว ส่วนอุปทานน้ำมันตึงตัวจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ค่าการกลั่นพื้นฐานเพิ่มขึ้น9.81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปี 2565 อยู่ที่ 14.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากปี 2564 อยู่ที่ 4.52 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพราะ Crack Spread ของทุกผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น
แต่ได้รับรู้ขาดทุนจาก สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าและ Inventory Gain ลดลงตามสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกผันผวนลงช่วงครึ่งหลังปี 2565 แต่ธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCPT เติบโตต่อเนื่อง มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15 % กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนของธุรกรรมกับคู่ค้าภายนอกกลุ่มบางจากมากขึ้น

กลุ่มที่ 2 ธุรกิจการตลาด ปี 2565 มี EBITDA รวม 2,909 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11 % จากปัจจัยหลักปริมาณจำหน่ายรวมเพิ่มขึ้นตามการบริโภคและการผลักดันด้านการตลาด กับทั่วโลกเปิดประเทศทส่งผลให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 148 % ปี 2565 มีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสม 16.4 % เทียบกับปี 2564 มี 16.2 % (ตามข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน) สิ้นปี 2565 มีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 1,343 สถานี ธุรกิจ Non-Oil ร้านกาแฟอินทนิลเพิ่มเป็น 1,002 สาขา
กลุ่มที่ 3 ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ภายใต้ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) มี EBITDA รวม 6,400 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 53 % จากการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนทั้งหมดในบริษัท
Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. 2,031 ล้านบาท ไตรมาส 1 ปี 2565 ผลดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้นจากการเปิดเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 3 โครงการ ปริมาณจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นถึง 373%

กลุ่มที่ 4 ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) มี EBITDA
รวม 617 ล้านบาท ปี 2565 ลดลงจากปีก่อน 67 % จากการรับรู้รายการพิเศษไตรมาส 3 ปี 2564 (กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน) lj;oการดำเนินงานโดยปกติลดลงเพราะเอทานอลกับไบโอดีเซลปริมาณขายลดลง ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ประกาศปรับส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B10 เป็น B5 ช่วง 9 เดือนแรก
กลุ่มที่ 5 ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจใหม่ มี EBITDA รวม 17,625 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง114 % ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนใน OKEA บริษัทย่อยตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2564 ทำให้ปี2565 กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติรับรู้ EBITDA จาก OKEA เต็มปีส่วนผลการดำเนินงานเฉพาะ OKEA ปี 2565 EBITDA เพิ่มขึ้น 82 % จากราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลว และราคาขายก๊าซธรรมชาติปรับขึ้นตามความต้องการใช้พลังงานตลาดโลก ส่วนปริมาณจำหน่ายเพิ่ม 3 %จากการรับรู้รายได้ของแหล่ง Yme ตลอดปี 2565
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทฯ และบริษัทย่อย เปรียบเทียบอัตราเติบโตกับไตรมาสก่อน มีรายได้จากการขายและให้บริการ 84,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13 % มี EBITDA 6,951 ล้านบาท ลดลง 39 % เป็นผลจากราคาพลังงานในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้มี Inventory Loss 4,003 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจ OKEAได้รับผลกระทบจากฤดูหนาวและระดับสต๊อกก๊าซธรรมชาติของยุโรปอยู่ในระดับสูง ส่งผลไตรมาส 4 ปีนี้มีกำไรงวดส่วนของบริษัทใหญ่ 473 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.26 บาท

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่าปี 2566 จะเป็นปีท้าทายจากประเทศเศรษฐกิจหลักกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกีดกันทางการค้า ซึ่งผลดำเนินงานปี 2565 จะเป็นฐานความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทบางจากพร้อมเดินหน้าต่อไป เมื่อต้นปีที่ผ่านมาจึงได้ประกาศซื้อหุ้นและทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท เอสโซ่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ยกระดับการดำเนินธุรกิจและความเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน จากพื้นฐานที่แข็งแกร่งด้านความมั่นคงของพลังงานและขยายการลงทุนไปสู่พลังงานแห่งอนาคต ต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน หรือธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต
โดยยึดมั่นรักษาสมดุลที่ดีระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน 3 ประการ คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน การเข้าถึงพลังงาน และความยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “รังสรรค์โลกยั่งยืนด้วยนวัตกรรมสีเขียว” และแนวทางการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับสิ่งแวดล้อมและสังคมที่บางจากฯ ให้ความสำคัญมาตลอดเกือบ 4 ทศวรรษ ของการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 อนุมัติให้นำเสนอจ่ายเงินปันผลงวด
ครึ่งปีหลังปี 2565 อัตรา 1 บาทต่อหุ้น เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกปี 2565 จ่าย 1.25บาทต่อหุ้นจะรวมเป็นเงินปันผลที่จ่ายปี 2565 อัตรารวม 2.25 บาทต่อหุ้น กำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิรับเงินปันผล 7 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผล 24 เมษายน 2566
เรื่องโดย…#เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza, www.facebook.com/penroongyaisamsaen