กลุ่มการค้าปลีกและบริการ ปลื้ม! ภารกิจ “99 วัน”ฟื้นฟูเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ SME เข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้



  • คาดเติมเงินในระบบเศรษฐกิจไทยมากกว่า 270,000 ล้านบาท ภายใน 6 เดือน
  • สามารถพยุงการจ้างงานกลับคืนมากว่า 2 ล้านคน

วันที่ 9 มิ.ย.2564 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานกลุ่มการค้าปลีกและบริการ หอการค้าไทย กล่าวถึงผลลัพธ์ของ 3 ภารกิจหลัก ที่เป็นผลการดำเนินการภายใต้นโยบาย Connect the Dots ฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใน 99 วันแรก ของนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทยที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564

อย่างไรก็ตามความสำเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นบทพิสูจน์ของพลังในการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน ที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และจริงใจที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ได้จริง โดยกลุ่มการค้าปลีกและบริการมีจุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการ คือ 1.ช่วยยกระดับมาตรฐานของสาธารณสุขไทย สร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว และทั่วถึง

กลุ่มการค้าปลีกและบริการนำเสนอพื้นที่ฉีดวัคซีนพร้อมระบบจัดการที่มีประสิทธิภาพและ ครบวงจร รวมทั่วประเทศ 382 แห่ง ให้แก่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2564

2.ผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan)ได้ทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน และเพื่อให้ SME ได้เงินทุนไปปรับปรุงและขยายธุรกิจ

3.กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศผ่านโครงการ “ฮักไทย” รวมใจ ไทยไม่ทิ้งกัน รวมทั้ง Hug Thais สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อรองรับการเปิดเมืองและเปิดประเทศ

“ภารกิจทั้ง 3 นี้ จะไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ ดังนั้นกลุ่มการค้าปลีกและบริการจึงเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการจัดทำแซนด์บ๊อกซ์ เพื่อเป็นต้นแบบและมีการปรับปรุงจนสมบูรณ์ในทุกภารกิจ เพื่อนำไปขยายผลต่อไปให้กับหน่วยงานอื่นๆ สำหรับภารกิจแรก การสร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็วที่มีประสิทธิภาพ (Total Solutions) อีกทั้งยังยกระดับมาตรฐานความสะอาดและสุขอนามัย และปฎิบัติตามกฎของรัฐอย่างเคร่งครัด เป็นการสนับสนุนภาครัฐเพื่อช่วยแก้ปัญหาสาธารณสุข กลุ่มการค้าปลีกและบริการยังเป็นผู้นำในเรื่องของการแก้ไขปัญหาของ SME ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ”

นอกจากนี้ ยังนำเสนอโครงการ “ฮักไทย” ที่เป็นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการของคนไทย ในการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทย ความสำเร็จทั้งหมดนี้ เกิดจากการลงมือทำอย่างทันที และเป็นการรวมพลังของทุกหน่วยงานซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่กำหนดไว้”

โดยความสำเร็จทั้ง 3 ภารกิจของกลุ่มการค้าปลีกและบริการ มีดังนี้

1.ช่วยยกระดับมาตรฐานของสาธารณสุขไทย สร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว และทั่วถึง โดยกลุ่มการค้าปลีกและบริการเป็นผู้ริเริ่มในการสร้างระบบการจัดการและกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร (Total Solutions) รวมถึงจัดหาพื้นที่ รวมทั่วประเทศ 382 แห่ง และได้เข้าเรียนหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ข้อมูลในการจัดเตรียมสถานที่ของภาคเอกชนและเพื่อพิจารณาสนับสนุนข้อเสนอของภาคเอกชนในการทำงานร่วมกับภาครัฐ โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 82 แห่งและต่างจังหวัด 300 แห่ง ซึ่งรองรับการฉีดวัคซีนสูงสุด 500,000 คนต่อวัน โดยได้จัดทำแซนบ๊อกซ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเอสซีจี ซึ่งถือเป็นต้นแบบพื้นที่ฉีดวัคซีนที่จะขยายผลต่อไปยังจุดฉีดวัคซีนอื่นๆ ทั้งของภาคเอกชนอีกหลายแห่ง และจุดฉีดวัคซีนของกระทรวงแรงงานในระบบประกันสังคมอีก 67 แห่งทั่วประเทศ

2. ผลักดันให้ SME เข้าถึงแหล่งเงินทุน (Soft Loan) ได้จริง เพื่อเสริมสภาพคล่องอย่างเร่งด่วน และเพื่อให้ SME ได้เงินทุนไปปรับปรุงและขยายธุรกิจ กลุ่มค้าปลีกและบริการเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งมีในระบบถึง 2.4 ล้านราย และสร้างการจ้างงานมากกว่า 12 ล้านคน คิดเป็น 34% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) การบริโภคทั้งประเทศ ดังนั้น เราจึงเป็นศูนย์กลางในการเชื่อม SME ในระบบค้าปลีกกับธนาคาร ด้วยการผนึกกำลังสร้าง Digital Factoring Platform โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้กับธนาคารพาณิชย์ทั้งของภาครัฐ และเอกชน ผ่านสมาคมธนาคารไทยในการพิจารณาสินเชื่อให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว

รวมทั้งแก้ไขปัญหาในการที่ SME โดยเฉพาะรายเล็กไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ โดยมีเป้าหมายที่จะปล่อยสินเชื่อ Soft Loan ให้แก่ SME ทั่วประเทศกว่า 500,000 ราย ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งต้นแบบแซนด์บ็อกซ์นี้ เป็นการตอบรับนโยบาย “โครงการพี่ช่วยน้อง” ของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และทางหอการค้าไทยได้เข้าพบและเรียนปรึกษารายละเอียดของโครงการนี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 และได้ขยายแซนด์บ๊อกซ์ต้นแบบไปยังสมาชิกของสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และเครือข่ายหอการค้าไทย

นอกจากนี้ กลุ่มการค้าปลีกและบริการยังคงเร่งผลักดันพัฒนาศักยภาพของ SME ไทยให้แข็งแรงในเรื่อง upskill/ reskill รวมทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการดำเนินธุรกิจและการค้าที่เป็นธรรมเพื่อเป็นแต้มต่อให้ SME สามารถฟื้นฟูและขยายธุรกิจต่อไปได้

โครงการ “ฮักไทย” กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ผ่าน ฮักกิน ฮักเทียว ฮักใช้

3.กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศผ่านโครงการ “ฮักไทย” รวมใจ ไทยไม่ทิ้งกัน รวมทั้ง Hug Thais สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อรองรับการเปิดเมืองและเปิดประเทศ โดยมุ่งให้เกิดการพลิกฟื้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและใช้จ่ายซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทย โครงการ “ฮักไทย” จะช่วยฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศ (Local Consumption) ผ่านการกิน-เที่ยว-ใช้ แบบไทยๆ อุดหนุนสินค้าไทย โดยผู้ประกอบการคนไทย

ทั้งนี้ตามแผนงานเตรียมเปิดเมืองภูเก็ตในวันที่ 1 ก.ค.นี้ จะมีการเปิดตัวโครงการ “ฮักไทย ฮักภูเก็ต” (Hug Thais Hug Phuket) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งคาดว่ารายได้ที่จะมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มแรก จะมีกว่า 12,000 ล้านบาทภายใน 3 เดือน โดยทางหอการค้าไทยได้รับการสนับสนุนโครงการเป็นอย่างดีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะมีการขยายผล “ฮักไทย ฮักภูเก็ต” ไปยังจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ อีกต่อไปเพื่อเป็นการเปิดเมืองเปิดประเทศและเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ โดยที่จะมีการทำงานประสานร่วมกับสมาคมต่างๆ อาทิ อาทิ สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย สมาคมภัตตาคารไทย และสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย เป็นต้น

สินค้า “ฮักไทย” วางจัดจำหน่ายในตลาดจริงใจ Farmers’ Market ทั้ง 23 สาขา รวมทั้งบนonline platform ของเซ็นทรัล รีเทล

“ภารกิจสำคัญทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ของความร่วมมือร่วมใจในการขับเคลื่อนและร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานของสาธารณสุขไทย พร้อมสร้างระบบการกระจายและฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว รวมทั้งการฟื้นฟู SME ไทยให้มีแต้มต่อและเสริมสภาพคล่องโดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อ SME ไทยต้องรอด พร้อมเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ (Local Consumption) ทั้งของชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คาดโครงการต่างๆ ของภาครัฐ จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยมากกว่า 270,000 ล้านบาท ภายใน 6 เดือน คิดเป็น 1.6% ของ GDP ทั้งประเทศ และจะสามารถพยุงการจ้างงานกลับคืนมากว่า 2 ล้านคน”