กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเร่งเดินหน้า 4 แผนงานปี 64



  • ทั้งเสนอสภาให้สัตยาบัน ”อาร์เซ็ป”-เดินหน้าเจรจาเอฟทีเอ
  • จัดตั้งกองทุนเอฟทีเอเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี
  • สร้างความเข้าใจทุกภาคส่วนใช้ประโยชน์-รับมือเอฟทีเอ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงแผนการทำงานของกรม ปี 64 ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ว่า มีแผนงานสำคัญ 4 ด้าน คือ เร่งรัดดำเนินกระบวนการภายในเพื่อเสนอรัฐสภาให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ภายในกลางปีนี้ อีกทั้งยังเดินหน้าเปิดเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศใหม่ๆ ตามเป้าหมาย ทั้ง สหภาพยุโรป (อียู) สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (เอฟตา ประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) สหราชอาณาจักร สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (อีเออียู ประกอบด้วย คาซัคสถาน เบลารุส อาร์เมเนีย คีร์กิซสถาน และรัสเซีย) และอาเซียน-แคนาดา รวมถึงเร่งปิดการเจรจาเอฟทีเอที่ยังเจรจาไม่จบ ทั้งตุรกี ปากีสถาน ศรีลังกา และบิมส์เทค (ประกอบด้วย บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย) และปรับปรุงเอฟทีเอ 13 ฉบับของไทยกับประเทศคู่เอฟทีเอ เพื่อให้ทันสมัย และสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกในปัจจุบัน 

นอกจากนี้ จะเร่งรัดจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า (กองทนเอฟทีเอ) พัฒนาระบบจับตามองทางการค้า สำหรับเฝ้าระวัง และติดตามสถิติการนำเข้า-ส่งออกของไทยกับประเทศคู่ค้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการในประเทศ หากจำเป็นต้องนำมาตรการปกป้อง (เซฟการ์ด) และตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) มาใช้เพื่อเยียวยาอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการทะลักเข้ามาปริมาณมาก หรือทุ่มตลาดของสินค้านำเข้า และสุดท้ายเดินหน้าสร้างความเข้าใจกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ภาคเอกชน และภาคประชาชน เรื่องการใช้ประโยชน์และการเตรียมรับมือผลกระทบจากเอฟทีเอ  

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีเอฟทีเอ 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เปรู ชิลี อินเดีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยในปี 62 การค้าของไทยกับ 18 ประเทศ มีมูลค่า 302,991.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 62.8% ของมูลค่าการค้าไทยกับโลก สำหรับในช่วงเดือน ม.ค.- พ.ย.63 การค้าของไทยกับ 18 ประเทศ มีมูลค่า 250,721.8 ล้านเหรียญฯ โดยไทยส่งออก 128,221.2 ล้านเหรียญฯ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก เป็นต้น และไทยนำเข้า 122,500.6 ล้านเหรียญฯ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ น้ำมันดิบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น