กทท. จี้ผู้รับเหมาเร่งงานถมทะเลสร้างแหลมฉบังเฟส 3

.กทท.ออกโรงบี้ผู้รับเหมากิจการร่วมค้า CNNC

. เหตุทำโครงการแหลมฉบัง เฟส 3 ถมทะเลล่าช้า

.ด้านเอกชน ลั่น!พร้อมส่งมอบพื้นที่งานถมทะเลตามกำหนด 29 มิย 69

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการ แหลมฉบังเฟส 3 ส่วนที่ 1 งานถมทะเลมูลค่า 21,320 ล้านบาทว่า สืบเนื่องจากที่ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับและสั่งการให้ กทท. เร่งดำเนินการในโครงการเนื่องจากล่าช้านั้น ทาง กทท. ได้มีการประสานและแจ้งไปยังกิจการร่วมค้า CNNC ซึ่งเป็นเอกชนที่รับผิดชอบในสัญญาถมทะเล ทาง CNNC ยังคงยืนยันว่าจะสามารถดำเนินการและส่งมอบพื้นที่ให้กับ กทท. ได้ ภายใน 29 มิย 69 แน่นอน และขณะนี้ได้เพิ่ม คนอีก 120คน รวมเป็น 520 คน รวมถึงเพิ่มอุปกรณ์ เข้าพื้นที่แล้ว

สำหรับการลงทุนของโครงการฯ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1. งานก่อสร้างทางทะเล 2. งานก่อสร้างอาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค 3.งานก่อสร้างระบบรถไฟ และ 4. งานจัดหาและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับขนย้ายสินค้า พร้อมออกแบบและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับบริหารท่าเรือและ  ระบบโครงสร้างพื้นฐานกลาง ซึ่ง กทท. ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3        (ส่วนที่ 1) งานก่อสร้างทางทะเล ร่วมกับกิจการร่วมค้า CNNC (ประกอบด้วย บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท  พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) บริษัท นทลิน จำกัด และ บริษัท จงก่าง คอนสตรั๊คชั่น   กรุ๊ป จำกัด (ประเทศจีน)

โดย กทท. ได้แจ้งให้กิจการร่วมค้าฯ เริ่มทำงานเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 จะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 3 พฤษภาคม 2568  รวม 1,460 วัน ซึ่งอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส   โคโรนา 2019 ส่งผลให้การก่อสร้างของโครงการฯ ประสบปัญหาการเคลื่อนย้ายเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ วิศวกรผู้ชำนาญการ รวมถึงแรงงาน ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ เป็นผลให้การก่อสร้างไม่สามารถ     เป็นไปตามแผนการทำงานเดิมและเกิดความล่าช้า

อย่างไรก็ตามหลังจากสถานการณ์ข้างต้นคลี่คลายแล้วนั้น หน่วยงานภาครัฐได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดฯ ตามมาตรการกรมบัญชีกลาง โดยกำหนดแนวทางในทางปฏิบัติต่างๆ อาทิเช่น การแก้ไขสัญญาและแนวทางการปรับแผนการทำงานใหม่ ฯลฯ ซึ่ง กทท. ได้อนุมัติให้แก้ไขสัญญาตามมาตรการภาครัฐข้างต้น และได้มีการปรับแก้แผนการทำงานใหม่ โดยแผนการทำงานใหม่มีผลเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 กิจการร่วมค้าฯ ดำเนินงานก่อสร้างและส่งมอบพื้นที่ถมทะเลส่วนที่ 1 และพื้นที่   ถมทะเลส่วนที่ 2 เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 และวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ตามลำดับ 

ส่วนพื้นที่     ถมทะเลส่วนที่ 3 มีกำหนดส่งมอบภายในวันที่ 7 มิถุนายน 2567  และกำหนดแล้วเสร็จในส่วนที่ 1 ส่วนงานก่อสร้างงานทางทะเล ในวันที่ 29 มิถุนายน 2569 มูลค่าโครงการรวม 21,320 ล้านบาท โดยจะส่งมอบพื้นที่ F1 ของโครงการฯ ให้แก่บริษัทเอกชนคู่สัญญา (บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด : GPC) ได้ภายในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ตามสัญญาเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการท่าเทียบเรือท่าแรก (ท่าเทียบเรือ F1) ในโครงการฯ ภายในปี 2570

อย่างไรก็ตามณ วันที่ 31 ตุลาคม 2566 ตามแผนการทำงาน ต้องทำงานให้ได้ 15.13% แต่กิจการร่วมค้าฯ สามารถทำงานส่งมอบให้โครงการฯ ได้แล้วที่ 13.26% มีความล่าช้าจากแผนการทำงาน 1.87% อย่างไรก็ตามกิจการร่วมค้าฯ มีแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อเร่งรัดงานก่อสร้างให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลา ดังนี้ 1. เพิ่มจำนวนเครื่องจักรอุปกรณ์ เดิมโครงการฯ มีเครื่องจักรทางน้ำในโครงการฯ รวมทั้งหมด 39 ลำ ประกอบด้วยเรือขุดหัวสว่าง เรือขุด Grab และเรือบริวาร เรือใช้เรียงหิน เรือที่ใช้ในการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น ทั้งนี้มีแผนการนำเครื่องจักรอุปกรณ์เข้ามาขั้นต่ำอีก 25 ลำ ปัจจุบันนำเข้ามาแล้ว 17 ลำ และกิจการร่วมค้าฯ จากประเมินสถานการณ์หากยังไม่เพียงพอ จะนำเข้าเพิ่มเติมอีก 

นอกจากนี้ได้นำเครื่องจักรเข้ามาเพิ่มเติมนั้น จะสามารถช่วยเพิ่มปริมาณในการขุดลอกโดยจากเดิมเดือนละ 1.4 ล้านลูกบาศเมตร เป็น 2.0 ล้านลูกบาศเมตร รวมทั้งขีดความสามารถในการเรียงหิน จะเพิ่มจากเดิมวันละ 5,000 ลูกบาศเมตร เป็น 14,000 ลูกบาศเมตรต่อวัน นอกจากนี้จะมีการเพิ่มอุปกรณ์ทางบกสำหรับการขนส่งหินเพื่อใช้ในการก่อสร้างคันหินล้อมพื้นที่ถมทะเล การปรับระดับและบดอัดพื้นที่ถมทะเล และงาน Preloading เช่น รถบรรทุกดัมพ์ รถขุด และเครื่องแทรก PVD รวม 50 ชุด 

2. เพิ่มจำนวนผู้ปฏิบัติงาน  กิจการร่วมค้าฯ เดิมมีแรงงาน 200 คน ในปีนี้ได้เพิ่มจำนวนแรงงานอีกเท่าตัว รวมเป็น 400 คน     ปัจจุบัน และจะเพิ่มทีมบุคลากรและแรงงานเข้ามาปฎิบัติงานพร้อมกับเครื่องจักรทางทะเล อีก 6 ชุด ประกอบด้วยทีมงาน ทีมทำเขื่อนคันล้อมพื้นที่ 3 จำนวน 2 ทีม (60 คน) ทีมทำงานบดอัดและปรับระดับ จำนวน 2 ทีม (30 คน) ทีมงานปรับปรุงคุณภาพดิน PVD 1 ทีม (10 คน) ทีมขนส่งหิน 1 ทีม (20 คน) รวมแล้วมีบุคลากรและแรงงานเพิ่มขึ้นทั้งชาวไทยและชาวจีนทั้งหมด 120 คน ภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเร่งรัดการทำงานให้สอดคล้องกับแผนงานและเครื่องจักรที่นำเข้ามาปฏิบัติงาน

3. ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงาน นอกจากการเพิ่มจำนวนเครื่องจักรและจำนวนผู้ปฏิบัติงานแล้ว กิจการร่วมค้าฯ จะปรับเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงาน และปรับเวลาทำการของแต่ละช่วงการทำงานให้มากกว่าปัจจุบันซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ของการทำงานเดิม 4. การจัดลำดับขั้นตอน (Sequence) ใหม่ นำทีมปฏิบัติการแต่ละทีมต้องมีอุปกรณ์เครื่องจักรและเรือที่เพียงพอ  ตามข้อกำหนดของแต่ละกระบวนการในพื้นที่ก่อสร้าง โดยฝ่ายโครงการฯ ผู้รับเหมาจะติดตามผลและประสานงานระหว่างทีมปฏิบัติการต่างๆ เพื่อการทำงานอย่างต่อเนื่องของแต่ละพื้นที่การทำงาน และมีการตรวจสอบเป็นระยะ 

5. ปรับปรุงแนวทางบริหารโครงการ กิจการร่วมค้าฯ  เพิ่มการบริหารจัดการเครื่องจักรและบุคลากรเข้ามาดำเนินการ และมีการปรับปรุงวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับแผนงานที่ได้รับอนุมัติ จะทำให้การทำงานในภาพรวมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น      จึงมั่นใจว่าสามารถดำเนินงานให้แล้วเสร็จเป็นไปตามกรอบระยะเวลาได้

ทั้งนี้ งานจ้างก่อสร้างโครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ส่วนที่ 2 (งานก่อสร้างอาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค) ตามงบประมาณ 7,425 ล้านบาท อยู่ระหว่างการประกาศประกวดราคา โดยจะมีการยื่นเสนอราคาในวันที่ 15 ธันวาคม 2566 คาดว่าจะได้ผู้รับจ้างภายในเดือนมกราคม 2567 และเมื่อได้ผู้รับจ้างแล้ว      ผู้ควบคุมงานก่อสร้างจะต้องกำกับการทำงานให้เป็นไปตามแผนบูรณาการงานก่อสร้างของโครงการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลา โดยคำนึงถึงระยะเวลาที่ กทท. ต้องส่งมอบพื้นที่ให้บริษัท GPC ตามข้อกำหนดในสัญญาสัมปทาน 

นอกจากนี้งานจ้างก่อสร้างส่วนที่ 3 (งานก่อสร้างระบบรถไฟ) ตามงบประมาณ 799.5 ล้านบาท และส่วนที่ 4    (งานจัดหาและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์สำหรับขนย้ายสินค้า พร้อมออกแบบและติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับบริหารท่าเรือและระบบโครงสร้างพื้นฐานกลาง) ตามงบประมาณ 2,257.8 ล้านบาท กทท. อยู่ระหว่างดำเนินการ ปรับเอกสารประกวดราคาให้เป็นปัจจุบัน และจะเริ่มประกวดราคาในเดือนเมษายน 2567

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ขณะนี้มีประเด็น สเปคค่าความหนาแน่นสัมพัทธ์ของทรายถมที่ไม่ตรงกัน ระหว่างสัญญา กทท.กับกลุ่ม CNNC และสัญญา กทท.ที่ส่งมอบ ให้ กลุ่มGPC  ซึ่งได้มีการหารือร่วมกัน กับคณะบริหารสัญญาฯ EEC -อัยการ -คมนาคม-กทท. แล้ว จะใช้เทคนิค Preloading ซึ่งที่ปรึกษาออกแบบ คาดว่าจะใช้ค่าก่อสร้างเพิ่มประมาณ 600 ล้านบาท ใช้เวลาเพิ่มประมาณ 8-12 เดือน ซึ่งยังอยู่ในกรอบที่จะส่งมอบพื้นที่ ให้ กลุ่มGPC ที่กำหนดในพ.ย. 68 ส่วนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ยังต้องหารือร่วมกันว่าจะเป็นฝ่ายใด

นอกจากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมา ก่อนมาตรการช่วยเหลือโควิด ที่ค่าปรับเป็น 0% นั้น  กลุ่ม CNNC ถูกปรับในกรณีก่อสร้าง ล่าช้า ใน พื้นที่ 1-3 ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องของเอกชนจะมีผลต่อความสำเร็จตามแผนงานใหม่หรือไม่ นางสาวลัลลิฬา จิตร์สม ผู้อำนวยการโครงการร่วมพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 กิจการร่วมค้า CNNC กล่าวว่า ที่ผ่านมา ถูกกทท.ปรับรวมกว่า 600 ล้านบาท ซึ่งมาตรการช่วยเหลือโควิด ไม่ครอบคลุม ขณะนี้  กลุ่ม CNNC ได้ทำหนังสือผ่านคณะมการตรวจการจ้างเพื่อขอให้พิจารณารับสิทธิ์ยกเว้น ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงาน ทั้งนี้ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่มีผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทเนื่องจากมีกลุ่มผู้ร่วมทุนที่สามารถระดมทุนเข้ามาดำเนินการให้งานแล้วเสร็จตามแผนได้

ด้านนางสาวลัลลิฬา จิตร์สม ผู้อำนวยการโครงการร่วมพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 กิจการร่วมค้า CNNC กล่าวว่า ที่ผ่านมา กทท. ได้ขยายเวลาเป็น 422 วัน และคิดค่าปรับเป็นศูนย์ โดยแผนใหม่จะเพิ่มเรือ อุปกรณ์ และเร่งดำเนินการก่อสร้าง มั่นใจว่าส่วนที่ 1 จะส่งมอบตรงตามเวลา กำหนดส่งมอบพื้นที่ทั้งโครงการในวันที่ 29 มิ.ย. 69

ทั้งนีี้โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ถือเป็นหนึ่งในโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สำคัญตามแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มูลค่าโครงการรวมประมาณ 114,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กทท. 47% และเอกชน 53% โดยเป็นการพัฒนาและดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ F เป็นลำดับแรก ระยะเวลาสัมปทาน 5 ปี  และเมื่อพัฒนาโครงการแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับ  ตู้สินค้าจาก 11 ล้าน ทีอียู ต่อปี เป็น 18 ล้าน    ทีอียูต่อปี เพิ่มสัดส่วนสินค้าผ่านท่าทางรถไฟของ ทลฉ. จาก 7%เป็น30% เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับรถยนต์จาก 2 ล้านคันต่อปี เป็น 3 ล้านคันต่อปี ช่วยสนับสนุนการลดต้นทุนการขนส่งโดยรวมของประเทศจาก 14% ของ GDP เหลือ 12% ของ GDP ประหยัดค่าขนส่งประมาณ 250,000ล้านบาท