กกร.คาดเศรษฐกิจไทยปี 67 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.8-3.3%

กกร.ประเมินเศรษฐกิจโลกปี 67 มีแนวโน้มชะลอตัวด้านประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.8-3.3% หวั่นหนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs

  • เผยภาพรวมเศรษฐกิจไทย 9 เดือนแรก ปี 66 เติบโตน้อยกว่าที่คาด อยู่ที่ 1.9%
  • ไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นไปที่การเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุน
  • ชี้การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้น

วันนี้ (6 ธ.ค.66) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ร่วมในการแถลงข่าวเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% แต่มีความเสี่ยงที่จะเติบโตได้น้อยกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

นายสนั่น กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้น้อยกว่าที่คาด โดย 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) เติบโตได้เพียง 1.9% โดยการส่งออกยังชะลอตัวตามทิศทางประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะจีน การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง และชะลอการผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลัง 

นอกจากนี้ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 28 ล้านคน แทนที่จะเป็นราว 30 ล้านคน รวมถึงการใช้จ่ายต่อหัวก็ลดลงเหลือเพียง 43,000 บาท จากที่เคยประมาณการ 45,500 หมื่นบาท 

ทั้งนี้ สำหรับเศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัว โดย สหรัฐฯ และยุโรป ชะลอตัวจากภาวะการเงินที่ยังตึงตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มเติบโตไม่ถึง 5% เนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของเอเชียไม่รวมจีน ได้แก่ อาเซียน-5 เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นเฉลี่ยที่อัตรา 3.7% 

นอกจากนี้ ตะวันออกกลางและอินเดีย มีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูงที่ประมาณ 3.4% และ 6.3% ตามลำดับ ซึ่งก็สามารถเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกของไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และอาหาร

“สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.8-3.3% มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้น้อยกว่า3% ซึ่งเป็นระดับศักยภาพเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs รวมถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของ ธปท. ที่เน้นเรื่องวินัยการไม่สร้างหนี้เกินกำลัง รวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุคโควิด-19”

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี เพิ่มผลิตภาพของแรงงานเพื่อเผชิญกับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย และการก้าวสู่ low carbon society 

สำหรับปัจจัยบวกในปี 2567 ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 ล้านคนจากปี 2566 ทั้งนี้ หากนโยบายเติมเงินใน digital wallet ดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ประเมินว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ได้อีกอย่างน้อย 1-1.5%

ทั้งนี้ ในปี 2567 ยังมีหลายปัจจัยแปรผันที่กระทบต่อเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน เน้นไปที่การเร่งเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling การดูแลต้นทุนราคาพลังงานควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพให้เกิดความสมดุล และการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน รวมถึงดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง 

นอกจากนี้ ต้องเร่งแก้ปัญหาความเปราะบางในประเทศ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พบว่าหนี้เสียที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.68% ณ ไตรมาส 1/2566 เป็น 2.79% ณ ไตรมาส3/2566 จากทุกผลิตภัณฑ์สินค้า และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ใน stage 2 สูงราว 15% 

อีกทั้งในเรื้องหนี้นอกระบบ ที่เป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากการมี informal economy ขนาดใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ณ วันที่ 5 ธ.ค. 2566 มีประชาชนมาลงทะเบียนจำนวน 62,030 ราย รวมมูลหนี้2,793.29 ล้านบาท เป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะจะได้เห็นข้อมูลพื้นฐานของหนี้นอกระบบ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการบังคับใช้กฎหมายโดยภาครัฐ และให้การดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง 

“ที่ประชุม กกร. เห็นว่ากลไกถัดไปในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ต้องผลักดันให้ลูกหนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบมากขึ้นรวมถึงการปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน”