ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร “ศรีสุวรรณ” ขอแย้ง “อนุทิน” ลั่นปฏิรูปบัตรทองรักษาทุกโรค สู่ารรักษาทุกที่ ชี้เป็นเพียงเล่ห์การเมือง



นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูลรมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. ได้แถลงเห็นชอบให้มีการดำเนินการตามนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” เพื่อพัฒนา 4 ระบบการบริการดูแลผู้มีสิทธิ์บัตรนำร่อง คือ 1.ประชาชนเจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ในระบบบัตรทอง ตามนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” 2.ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว 3.โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม และ 4. ย้ายหน่วยบริการได้สิทธิ์ทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน โดยจะเริ่มในวันที่ 1 พ.ย.63 และ 1 ม.ค.64 นั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวเป็นเพียงเล่ห์ทางการเมือง ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรเพิ่มจากเดิม แต่พูดใหม่ให้ดูดีเหมือนเป็นสิ่งใหม่เท่านั้น ดังนี้

1.ยังไม่มีความไม่ชัดเจนว่าประชาชนไปรับบริการปฐมภูมิ ได้ทุกที่นั้นมีขอบเขตแค่ไหน  ข้อมูลสถานพยาบาลแต่ละแห่งรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลกันทุกแห่งแล้วหรือ และหากต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านไอทีของแพทย์ ซึ่งมีจำนวนไม่กี่คนที่ทำเป็น และเสียเวลาในการตรวจรักษาผู้ป่วยเพื่อมาตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังของผู้ป่วยทุกคนว่าไปทำอะไรที่ไหนมาบ้าง หากการตรวจสอบโดยใช้สมาทการ์ดต้องเป็นบัตรปชช.รุ่นใหม่ บางรุ่นบัตรเก่าใช้ไม่ได้ ยังมีไม่ครบทุกคนโดยเฉพาะชาวบ้านสูงอายุยังเป็นบัตรเก่าก็จะใช้สิทธิ์ไม่ได้ และถ้าระบบการเช็คสิทธิ์มีการใช้งานพร้อมกันหลายแห่งระบบยังไม่พร้อมจะรองรับ ไอทีจึงต้องพร้อม ซึ่งปัจจุบันยังไม่พร้อมทั้งคนปฎิบัติงานและระบบยังไม่รองรับ จึงยังไม่ชัดเจน 

2.หากเป็นผู้ป่วยในอยู่แล้วไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกจนถึงออกจากโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลจะดูเฉพาะวันแรกที่เข้าเป็นผู้ป่วยใน และรักษาจนออกจากโรงพยาบาลอยู่แล้ว ไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเป็นพิเศษเลย

3.โรคมะเร็งไปรักษาที่ไหนก็ได้ที่พร้อมอยู่แล้วตามข้อกำหนดหรือข้อตกลง เช่น เป็นมะเร็งที่รพ.แรกรักษาไม่ได้ก็ไปที่อื่นได้อยู่แล้ว การเอามาพูดเพื่อสร้างภาพไม่ใช่อะไรใหม่ ไม่มีอะไรเพิ่มจากเดิมเลยแต่พูดใหม่ให้ดูดีเหมือนเป็นสิ่งใหม่ ว่าเป็นมะเร็งแล้วจะได้ code เพื่อไปรักษาที่อื่นได้โดยผ่านสามช่องทาง ซึ่งตามปกติก็ทำกันอยู่แล้ว

4.ข้อนี้ก็แย้งกับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่เพราะถ้ารักษาได้ทุกที่อยู่แล้ว การเปลี่ยนสิทธิ์ก็ไม่จำเป็นต้องย้ายหน่วยบริการ ถ้าสิทธิ์ผู้ป่วยอยู่แห่งแรก อยากไปรักษาแห่งสองก็ไปได้ โดยหน่วยบริการประจำแห่งแรกจะต้องตามจ่ายค่ารักษา แต่ถ้าให้เปลี่ยนสิทธิ์ได้ทันทีเมื่อไปแห่งใหม่ก็จะได้รับค่าเหมาจ่ายให้หน่วยบริการใหม่แต่ให้รักษาไปก่อน ยังไม่มีรายละเอียดการจ่ายเงินค่ารักษาอย่างชัดเจนว่าจะจ่ายเมื่อไร อย่างไรการตามเก็บภายหลังจะสร้างปัญหาให้ระบบการเบิกจ่าย จึงต้องมีการตกลงเรื่องระบบการจ่ายเงินล่วงหน้าให้สถานพยาบาลเพื่อเป็นค่าบุคคลากรและค่ารักษา ถ้ารักษาวันนี้แต่จ่ายสิ้นเดือนก็จะเป็นภาระให้หน่วยบริการ หรือหาเหตุจับผิดแล้วไม่ยอมจ่ายเงินอีกเหมือน 190 แห่งที่ผ่านมาจะทำอย่างไร นายศรีสุวรรณกล่าวในที่สุด