

- ขอทบทวนแผนหนี้ปี 2565 เล็งพับโครงการล่าช้า
- ชี้การก่อหนี้อยู่ภายใต้กฎหมายกรอบวินัยการเงินการคลัง
- เล็งพิจารณากรอบวินัยการเงินการคลังอีกครั้ง
นางแพตริเซีย มงคลวนิช.ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า พระราชกำหนด(พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 จำนวน 500,000 ล้านบาท จะต้องลงนามเพื่อออกตราสารหนี้ ภายใน 30 ก.ย.2565 ซึ่งกรอบวงเงินนี้ถือว่าเหมาะสมในการดำเนินด้านการคลัง แพทย์ และสาธารณสุข จากเดิมที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติกรอบที่ 700,000 ล้านบาท
“ขณะนี้ยังไม่ได้มีการกู้เงินเพราะพ.ร.บ.เพิ่งอนุมัติ ไม่มีการกู้ครั้งเดียว และจะทยอยกู้เงินตามความจำเป็น หรือ ตามแผนเบิกจ่ายจริง ลักษณะคล้ายการกู้เงินตามพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่กู้ตามโครงการที่ได้อนุมัติ โดยเน้นเครื่องมือหลากหลาย เช่น พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น”
สำหรับกรอบวงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท มีการตั้งสมมุติฐานการกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2564 ราว 100,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับการกู้จนเต็มวงเงินภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท จะทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะในสิ้นเดือน ณ ก.ย. 2564 อยู่ที่ 58.56% ต่อจีดีพี ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่กำหนดไว้ 60% ต่อจีดีพี
“รัฐบาลยังสามารถบริหารหนี้สาธารณะให้อยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังได้ โดยเม็ดเงินกู้ 500,000 ล้านบาท เมื่อลงสู่ระบบเศรษฐกิจจะทำให้ตัวเลขจีดีพีโตขึ้น 1.5% หรือ เฉลี่ย 0.75% ต่อปี ซึ่งเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะลดลง และยืนยันว่าการก่อหนี้อยู่ภายใต้กฎหมายกรอบวินัยการเงินการคลังทุกประกาศและทุกฉบับ”
ส่วนในปี 2565 หนี้สาธารณะจะอยู่ที่เท่าใดนั้น จะต้องมีการทบทวนแผนบริการหนี้สาธารณะอีกครั้ง เนื่องจากมีหลายแผนงานดำเนินการล่าช้า บางโครงการจองวงเงินไว้แต่ไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งโครงการในส่วนนี้จะต้องถูกพับไป ซึ่งคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะจะใกล้เคียงหรือแตะกรอบที่กำหนดไว้ 60% ต่อจีดีพี
ทั้งนี้ในการพิจารณากรอบวินัยการเงินการคลัง ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐก็จะเป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้ ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1. หนี้สาธารณะที่กำหนดกรอบไว้ที่ 60% ต่อจีดีพี โดย ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 จะอยู่ที่ 58.56% ต่อจีดีพี 2. หนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการราบได้ประจำปีงบประมาณ กรอบกำหนดไว้ไม่เกิน 35% ปัจจุบันอยู่ที่ 27% ต่อจีดีพี 3.หนี้จากการก่อหนี้ในต่างประเทศ กรอบกำหนดไว้ไม่เกิน 10% ปัจจุบันอยู่ที่ 1.8% ต่อจีดีพี และ 4.หนี้จากเงินตราต่างประเทศ และ4.หนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้ส่งออกสินค้าและบริการ กรอบกำหนดไม่เกิน 5% ปัจจุบันอยู่ที่ 0.06% ต่อจีดีพี
สำหรับงบฟื้นฟูที่กำหนดไว้ตามพ.ร.ก.ฉบับนี้ 170,000 ล้านบาทนั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว เนื่องจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯ มีแผนงาน เช่น โครงสร้างการสร้างงาน งบลงทุนในการปรับโครงสร้าง เป็นต้น ส่วนงบของกระทรวงสาธารณสุขมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว และหน่วยงานอื่นๆ เกลี่ยเงินมาใส่ได้
“เรื่องการจัดเก็บรายได้ปีนี้ที่อาจไม่ได้ตามเป้าหมายนั้น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการดูแลไปจนสิ้นปีงบประมาณ โดยจะต้องดูแลรายจ่ายด้วย”