

- คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 16 ล้านล้านบาท
- สิทธิเรียกร้องใช้เป็นหลักประกันค้ำเงินกู้มากสุด
- ส่วนไม้ยืนต้นค้ำกู้เงิน 1.46 แสนต้นกว่า 139 ล้านบาท
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า นับตั้งแต่กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมีผลบังคับใช้ปี58 จนถึงวันที่ 20 ก.ย.66 มีคำขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ 793,951 คำขอ ทรัพย์สินรวมที่ใช้เป็นหลักประกัน 16.160 ล้านล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด สัดส่วนถึง80.047% มูลค่า 12.935 ล้านล้านบาท รองลงมา อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลังวัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ เครื่องบิน สัตว์พาหนะ 19.93% มูลค่า 3.220 ล้านล้านบาท, ทรัพย์สินทางปัญญา 0.01% มูลค่า 1,991 ล้านบาท, กิจการ 0.01% มูลค่า 1,457 ล้านบาท, อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ 0.002% มูลค่า 398 ล้านบาท
ขณะที่ ไม้ยืนต้นที่มีค่า 146,942 ต้น มูลค่าสินเชื่อรวมกว่า 139 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ 122,988 ต้นมูลค่าสินเชื่อ 6,273,892.00 บาท, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 954 ต้น มูลค่าสินเชื่อ 4,645,060.02 บาท และ ธนาคารกรุงไทย 23,000 ต้น มูลค่าสินเชื่อ 128,000,000.00 บาท โดยต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจส่วนใหญ่ ได้แก่ ต้นสัก ต้นขนุน ยางพารา ต้นยูคาลิปตัส ไม้สกุลทุเรียน ไม้สกุลมะม่วง ไม้สกุลยาง เป็นต้น
ขณะเดียวกัน มีสถาบันการเงินและนิติบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติเป็นผู้รับหลักประกัน ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้รับหลักประกันแล้ว 391 ราย ทั้ง สถาบันการเงิน, ธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันภัย, ทรัสต์, บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม, พิโกไฟแนนซ์ เป็นต้น


“ผู้กู้ที่ปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเองอยู่แล้ว สามารถนำไม้ยืนต้นนั้นมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ตามกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ โดยไม้ยืนต้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปีตามอัตราการเติบโต และยังช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน ลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเจ้าของไม้ยืนต้นสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อีกทางหนึ่ง นอกจากการใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันขอสินเชื่อ”