“เอพี ไทยแลนด์” เดินหน้าบุกตลาดครึ่งปีหลัง ชี้ดีมานด์บ้าน-คอนโดมิเนียม ยังมีต่อเนื่อง ยกสินค้าแนวราบเป็นซูเปอร์สตาร์



  • วางแผนเปิด 26 โครงการใหม่ มูลค่า 26,000 ล้านบาท
  • พร้อมปั้น ‘อภิทาวน์’ แบรนด์ใหม่บุกตลาดต่างจังหวัด
  • เจาะหัวเมืองใหญ่ โคราช-ระยอง-อยุธยา-ขอนแก่น-เชียงราย
  • เผยความท้าทาย รอลุ้นอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรอีก

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นเปรียบเหมือนเป็นซูเปอร์โนวาที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก สร้างผลกระทบที่ใหญ่และรุนแรงกว่าวิกฤติครั้งไหนในอดีต โดยตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินงานด้วยความระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการปรับแผนงานให้สอดรับกับสถานการณ์แต่ละช่วงเวลา อาทิ การปรับแผนการขายผ่านช่องทานออนไลน์ เน้นเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 15,085 ล้านบาท โดยเป้ายอดขายทั้งปีอยู่ที่ 33,500 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม) 14 โครงการ มูลค่า 15,500 ล้านบาท 

“จากวิกฤติโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องมีการเก็บข้อมูลพร้อมศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า ผลพบว่าความต้องการที่อยู่อาศัย (ดีมานด์) ไม่ลดลงเลย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแนวราบ โดยครึ่งหลังปีนี้บริษัทยกให้เป็นพระเอกหลักในการบุกตลาดมีแผนเปิด 26 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท อีกทั้งในกลุ่มคอนโดมิเนียมดีมานด์ก็ยังมีต่อเนื่อง ที่พูดได้แบบนี้เพราะในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ที่เป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดมีการล็อกดาวน์ประเทศ บริษัทกลับมียอดโอนต่อเนื่อง โดยสามารถทำยอดโอนได้สูงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เปิดบริษัทมา ทำลายสถิติเมื่อครั้งไตรมาส 2 ปี 2559 ที่ทำไว้ 11,500 ล้านบาท” นายวิทการ กล่าว

นายวิทการ กล่าวว่า เหตุที่ลูกค้ายังซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องด้วยยังมีกลุ่มที่วางแผนไว้อยู่แล้ว มองว่าเวลานี้เป็นโอกาสดีทั้งโปรโมชั่นที่ผู้ประกอบการออกมา ดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง มาตรการต่างๆที่ภาครัฐออกมากระตุ้นภาคอสังหาฯ ทำให้เป็นแรงกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ รวมถึงบ้างกลุ่มมองว่าลงทุนในที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี มีความคุ้มค่าของสินทรัพย์ที่มากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่น

ทั้งนี้ในครึ่งปีหลังปี 2563 บริษัทยังคงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี โดยเปิดโครงการใหม่ 26 โครงการ โดยเป็นแนวราบทั้งหมด ซึ่งจะชะลอการเปิดคอนโดมิเนียมออกไปก่อน โดยปีนี้ยังเน้นขายสินค้าที่มีอยู่ในมือก่อน โดยโครงการแนวราบที่จะเปิดแบ่งเป็นในกรุงเทพฯ อีกจำนวน 21 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 7,970 ล้านบาท และทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 13,330 ล้านบาท 

นอกจากนี้ยังมีแผนบุกตลาดในต่างจังหวัดอีก 5 โครงการ รวมมูลค่า 4,700 ล้านบาท ประกอบด้วยจังหวัดนครศรีธรรมราช, ระยอง, อยุธยา, ขอนแก่น และเชียงราย ภายใต้แบรนด์ใหม่ อภิทาวน์ ราคาเริ่มต้น 1.5-9 ล้านบาท โดยในพื้นที่ จ.ระยองที่ขณะนี้กำลังเฝ้าระวังการแพร่ระบาดหลังมีทหารอียิปต์เข้ามาในพื้นที่นั้น ก็ต้องรอดูสถานการณ์ว่าจะมีผลออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งก็ต้องหาแผนสำรองมารับมือต่อไป

“ผลกระทบครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีต เรายังคงอยู่กับสภาวะความผันผวนเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิม ความท้าทายที่น่าสนใจคือ วันนี้คำว่า New Normal ที่พูดถึงกันนั้น ยังเกิดขึ้นอย่างไม่สมบูรณ์แบบ เพราะวิกฤติยังเดินไปไม่ถึงตอนจบ ยังไม่รู้ว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรอีก ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปต่อท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ คนในองค์กรต้องมีความพร้อม การบริหารกระแสเงินสด แผนธุรกิจที่ยืดหยุ่น นี้คือหนทางที่จะผ่านวิกฤตในครั้งนี้ได้” นายวิทการ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 31 มิ.ย. 2563 บริษัทมีสินค้ารอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 56,149 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 13,234 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียม มูลค่า 42,915 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ประมาณ 15,602 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566