เอกชนโอดอุตสาหกรรมไทยขาดแคลนแรงงานต่างด้าวหนัก



  • แห่กลับบ้านหลายแสนคนในช่วงโควิด-19ขณะนี้ยังกลับมาไม่ครบ
  • ส่วนแรงงานไทยว่างงานจำนวนมากเมินทำงานโรงงานแทนต่างด้าว
  • อ้อนรัฐผ่อนปรนจ้างงานกระตุ้นคนไทยกลับเข้าโรงงาน

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์แรงงานและพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า สภาหอการค้า และหอการค้าไทย ห่วงใยในสถานการณ์แรงงานของไทยในปัจจุบันมาก เพราะโควิด-19 ทำให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านกลับประเทศหลายแสนคน และจนถึงขณะนี้ ยังกลับมาไม่ได้มากนัก แม้ไทยควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดีขึ้นแล้ว และผ่อนปรนการจ้างแรงงานต่างด้าว ส่งผลให้อุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย ขาดแคลนแรงงานต่างด้าวอย่างหนัก 

“แม้แรงงานไทยว่างงานจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่สนใจทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมในตำแหน่งที่แรงงานต่างด้าวทำ โดยอุตหกรรมที่ต้องการแรงงานมาก เช่น อาหารแปรรูป ถุงมือยาง อาหารและเกษตร จึงอยากให้ทุกหน่วยงานหาทางกระตุ้นให้แรงงานไทย ที่ว่างงานอยู่ มาทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น และสิ่งที่วิตกหากอนาคต หากภาคอุตสาหกรรมไทยเปลี่ยนใช้เครื่องจักรแทนคนทั้งหมด แรงงานไทยจะยิ่งตกงานมากขึ้น” 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ได้เสนอให้รัฐบาลผ่อนปรนเรื่องแรงงานต่างด้าว  และได้รับการตอบสนองแล้ว คือ ขยายมาตรการผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าว ที่มีวาระการจ้างงานครบ 4 ปี อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและสามารถทำงานได้ถึงวันที่ 31 มี.ค.65 รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่เสนอให้ช่วยแรงงานจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการเพิ่มสิทธิประโยชน์การว่างงานจากเหตุสุดวิสัย รับเงินกรณีว่างงาน 62% (ไม่เกิน 90 วัน), เลื่อนเวลาส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตน มาตรา 33 และ 39, ขยายเวลาการลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและลูกจ้าง จาก 5% เหลือ 2% เพิ่มเติมอีก 3 เดือน ตั้งแต่เตือนก.ย.-พ.ย.63  

นายพจน์ กล่าวต่อว่า ยังได้ร่วมกับ คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา จัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อศึกษาและจัดทำแนวทางนโยบายการพัฒนาและแก้ไขปัญหาแรงงานของไทยเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะประเด็นอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง ที่ไทยอาจต้องเข้าร่วมเป็นภาคี หากไทยจะเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่มีมาตรฐานสูงในอนาคต เช่น เอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) เป็นต้น แต่ขณะนี้ ไทยยังไม่มีท่าทีชัดเจนในเรื่องนี้ จึงจำเป็นที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนต้องร่วมศึกษาแนวทางการปฏิบัติ และจุดยืนของไทย เพื่อนำไปใช้ในการเจรจาในอนาคต