เพื่อการเดินทางที่ดี… “บิ๊กตู่” จุดพลุเปิดท่าเรือท่าช้าง – สาทร “SMART PIER SMART CONNECTION”



  • เผยรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ
  • กำหนดแผนพัฒนา Smart Pier ในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปี 62-67 จำนวน 29 แห่ง
  • พร้อมส่งเสริมให้มีเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า ลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ สร้างรายได้ให้กับประเทศ
  • ลั่นเมื่อพัฒนาท่าเรือตามแผน คาดจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 53,000 คนต่อวัน ในปี 70

วันนี้ (8 มิ.ย.65) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดท่าเรือท่าช้าง – สาทร “SMART PIER SMART CONNECTION” โดยมี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทยนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจ้าท่า ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคม หัวหน้าส่วนราชการ และภาคเอกชน เข้าร่วมพิธี ในวันที่ 8 มิ.ย. 2565 ณ ท่าเรือท่าช้าง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ ศูนย์บริการร่วมคมนาคม บริเวณท่าเรือสาทร ถนนเจริญกรุงกรุงเทพมหานคร ด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศทั้งทางถนน ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับนานาชาติ ตลอดจนการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีความสะดวก ปลอดภัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามที่กระทรวงคมนาคมได้มีแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยา จท. ได้ก่อสร้าง ปรับปรุงท่าเรือท่าช้างและท่าเรือสาทรแล้วเสร็จ โดยมีระบบการให้บริการที่ทันสมัย รูปลักษณ์สวยงามเป็นอารยสถาปัตย์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางทางน้ำเป็นทางเลือกที่ดีของการเดินทางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอีกทางหนึ่งเนื่องจากราคาถูก สามารถกำหนดระยะเวลาเดินทางได้แน่นอน บรรยากาศในการเดินทางมีความผ่อนคลาย ทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำมีความสวยงาม รวมทั้งการนำเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้ามาใช้งานตามนโยบายของรัฐบาล ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลดปริมาณการใช้น้ำมัน ลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว และให้การสนับสนุนแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยาให้บรรลุเป้าหมายสำเร็จลุล่วงเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนและส่วนรวมต่อไป  

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี พ.ศ. 2561 – 2580 พร้อมทั้งกระทรวงคมนาคมมีนโยบายในการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งทางบกน้ำ ราง อากาศ ให้มีความเชื่อมโยง สะดวก ปลอดภัย สร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ จท. มีภารกิจในการพัฒนาการขนส่งทางน้ำ ได้กำหนดแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 – 2567 ที่จะพัฒนาท่าเรือ จำนวน 29 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามตามหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) มีระบบการให้บริการที่ทันสมัย

นอกจากนั้นยังได้ส่งเสริมให้มีเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า ลดมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน อีกทั้งมีส่วนในการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ สร้างรายได้ให้กับประเทศ และเมื่อพัฒนาท่าเรือแล้วเสร็จตามแผน จะทำให้มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 53,000 คนต่อวัน ในปี พ.ศ. 2570

ทั้งนี้กรมเจ้าท่า ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจดังกล่าว ได้กำหนดแผนงานโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางน้ำ เพื่อตอบสนองเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่างการดำเนินงานตามแผนพัฒนายกระดับท่าเรือโดยสาร (Smart Pier) ในแม่น้ำเจ้าพระยา พ.ศ. 2562 – 2567 เพื่อพัฒนายกระดับท่าเรือให้เป็นสถานีเรือ ทั้งในส่วนของท่าเรือและตัวเรือ รวมทั้งพัฒนาระบบการรองรับชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) เชื่อมต่อกับระบบการขนส่งสาธารณะอื่นทั้งล้อ ราง เรือ เพื่อสร้างทางเลือกการเดินทางประชาชน ตามแผนพัฒนาฯ ดังกล่าวจะพัฒนารูปลักษณ์ท่าเรือให้มีความสวยงามตามอัตลักษณ์ เกิดเป็นจุดหมายตา (Landmark) 

รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการควบคุมและให้บริการบนท่าเรือและเรือ เพื่อให้บริการเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีต้นทางจากท่าเรือสาทรไปยังปลายทางที่ท่าเรือปากเกร็ด จำนวนทั้งสิ้น 29 ท่าเรือ โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2562 จำนวน 3 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือกรมเจ้าท่า ท่าเรือสะพานพุทธ และท่าเรือนนทบุรี แล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2564 จำนวน 1 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือท่าช้าง แล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 1 ท่าเรือ ได้แก่ท่าเรือสาทร อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2565 จำนวน 6 ท่าเรือ ขอรับจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2566 จำนวน 8 ท่าเรือ มีแผนของบประมาณประจำปี พ.ศ. 2567 จำนวน 10 ท่าเรือ และมีแผนติดตั้งระบบให้บริการบนท่าเรือทั้ง 29 ท่าเรือ ในปี พ.ศ. 2566 – 2567 ซึ่ง จท. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการเรือโดยสารปรับเปลี่ยนมาใช้เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในการให้บริการ เพื่อลดมลพิษ และลดปริมาณการใช้พลังงานน้ำมัน

สำหรับท่าเรือที่ก่อสร้างปรับปรุงแล้วเสร็จ ได้แก่ ท่าเรือช้างและท่าเรือสาทร ถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญต่อการเดินทางและการท่องเที่ยว เนื่องจากท่าเรือ ท่าช้าง มีผู้โดยสารจำนวนมาก ทั้งผู้สัญจรและนักท่องเที่ยวชาวไทยชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ พระบรมมหาราชวัง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร และวัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร เป็นต้น สำหรับท่าเรือสาทร เป็นจุดศูนย์กลางการเดินทางเชื่อมต่อของระบบล้อ ราง เรือ เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสะพานตากสิน มีผู้โดยสารจำนวนมาก และเป็นจุดลงเรือบริการไปยังแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำอื่น ๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าไอคอน สยาม และเอเชียทีค เป็นต้น

อย่างไรก็ตามกระทรวงคมนาคมได้จัดตั้งศูนย์บริการร่วมคมนาคม เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2549 เพื่อเป็นศูนย์รวมการให้บริการด้านคมนาคมแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ มาให้บริการประชาชนณ จุดเดียวกัน อาทิ บริการข้อมูลข่าวสาร แนะนำเส้นทางการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ รถไฟ รถไฟฟ้า เรือโดยสาร สายการบิน ตรวจสอบสภาพจราจร บริการเปลี่ยนใบขับขี่กรณีชำรุดเสียหาย บริการตู้รับชำระภาษีรถประจำปีและตู้เติมบัตรทางด่วน Easy Pass รับชำระค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า บริการตู้อเนกประสงค์ภาครัฐ อาทิ ตรวจสอบข้อมูลใบสั่ง สิทธิการรักษา ประกันสังคม รวมทั้งบริการให้ข้อมูลด้านกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปใช้บริการที่หน่วยงานต่าง ๆ โดยเปิดให้บริการในวันจันทร์ – วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. ปัจจุบันอยู่ระหว่างทดสอบการให้บริการ และสำรวจงานบริการเพิ่มเติมเพื่อให้ครบถ้วนตามภารกิจของกระทรวงฯ