

วันนี้ (20 พ.ย.63) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ จากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ ศบศ.เห็นชอบในหลักการข้อเสนอโครงการบริหารเศรษฐกิจระยะปานกลางและระยะยาว ชุดที่ 2 ที่เสนอโดยคณะอนุกรรมการวิเคราะห์และเสนอแนะมาตรการบริหารเศรษฐกิจ และส่งเสริมการลงทุนในระยะปานกลางและระยะยาว
หนึ่งในนั้นคือ “โครงการรถแลกแจกแถม” หรือ “รถเก่าแลกรถใหม่ 100,000 คัน” ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาข้อเสนอสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภายใต้โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ โดยการนำรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป มาเปลี่ยนเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อเป็นการส่งเสริมมาตรการกระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและเป็นการบริหารจัดการซากยานยนต์
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการจัดตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการจัดการซากยานยนต์ เพื่อศึกษาให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนวทางมาตรการจัดการซากยานยนต์ภายในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งศึกษาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการนำกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบใหม่ ตามแนวคิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อให้เกิดกลไกการจัดการซากยานยนต์อย่างเป็นระบบ และกำหนดหลักเกณฑ์การตั้งโรงงานรีไซเคิลยานยนต์ และส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงงานรีไซเคิลซากรถ และแบตเตอรี่
ส่วนเงื่อนไขหรือรายละเอียดของ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ที่คาวว่า ศบศ. จะพิจารณามีรายละเอียด ดังนี้
1.ขอให้เอกชนค่ายรถยนต์ สนับสนุนส่วนลด 2% และอุดหนุนค่ากำจัดซาก 1% ของราคาขายรถใหม่
2.ค่าใช้จ่ายจากการซื้อ xEV (HEV PHEV และ BEV) สามารถนำไปหักภาษีเงินได้ส่วนบุคคล (PIT) โดยรัฐบาลสามารถหักลดหย่อนได้คิดเป็นเงินส่วนลด 3% ของราคาขายรถใหม่ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท อยู่ระหว่างการหารืออัตรา กับกระทรวงการคลัง
3.ฝ่ายรัฐต้องก่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนให้เกิดกิจการจัดการซากรถเก่า
4.กระทรวงคมนาคม ต้องเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก เพื่อยกเลิกทะเบียนรถเก่า
5.รถที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว 10-12 ปี จึงจะสามารถเข้าสู่เงื่อนไข “รถแลกแจกแถม” ได้
ข้อมูลล่าสุดจากกรมขนส่งทางบก รายงานสถิติจำนวนรถจดทะเบียนใหม่ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ปี พ.ศ. 2563 ทั่วประเทศ ระบุว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 479,397 คัน
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน จำนวน 24,521 คัน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล Van & Pick Up จำนวน 191,721 คัน
สำหรับผู้ครอบครองรถยนต์ ที่จะเข้าเงื่อนไข คาดว่าเป็นรถที่จดทะเบียน ในปี 2551-2553 ซึ่งได้จดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก มีข้อมูลดังนี้
รถจดทะเบียนใหม่ ปี 2551 ประกอบด้วย รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 329,290 คัน รถยนต์ นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน จำนวน 21,329 คัน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 287,568 คัน
รถจดทะเบียนใหม่ ปี 2552 ประกอบด้วยรถยนต์ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 309,150 คัน รถยนต์ นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน จำนวน 16,842 คัน
และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 206,068 คัน
รถจดทะเบียนใหม่ ปี 2553 ประกอบด้วยรถยนต์ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 465,738 คัน รถยนต์ นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน จำนวน 23,568 คัน และ รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 263,500 คัน