- เน้นดูแลภาคการท่องเที่ยว-การบริโภค
- ขณะที่คณะสภาธุรกิจอาเซียน-เอกชน สนใจลงทุนระยะยาว
- ระบบสาธารณสุขไทย-ไบโอพลาสติก-รถยนต์ไฟฟ้า
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)สัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) เพื่อนำมาใช้ในช่วงเดือนมี.ค.นี้ โดยมาตรการที่จะเสนอจะเน้นดูแลภาคการท่องเที่ยวตั้งแต่ผู้ประกอบการและลูกจ้างที่มีในระบบกว่า 15 ล้านราย รวมถึงการดูแลเรื่องอุปโภคและบริโภค เช่น การใส่เงินเข้าไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน รอบให มาตรการชิมช้อปใช้ระยะที่ 4 เป็นต้น โดยคาดว่ามาตรการที่ออกมานั้นจะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจไตรมาส 1 ของปีนี้ทันที
“เม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้นั้น รับรองว่าปังแน่นอน และมีผลต่อเศรษฐกิจทันที โดยขณะนี้กระทรวงการคลังพยายามสรุปมาตรการที่จะออกมาให้เร็วที่สุด”
ขณะที่ส่วนงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้านั้น คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนจะสามารถนำเงินงบประมาณปี 2563 มาใช้ได้ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ราว 100,000 ล้านบาทลงสู่ระบบเศรษฐกิจไม่เกินเดือนพ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้กระทรวงการคลังสั่งการให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ เตรียมพร้อมเพื่อเบิกจ่ายเงินลงทุนปี 2563 ไว้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนการร่วมหารือกับคณะสภาธุรกิจอาเซียน(EU-ASEAN Business Council) จำนวน 56 ราย และผู้แทนจากบริษัทเอกชนต่างๆ กว่า 30 บริษัทในวานนี้(19ก.พ.63) นายอุตตม ระบุว่า เอกชนที่มานั้นสนใจแผนลงทุนระยะยาวของไทย ที่สามารถต่อยอดธุรกิจของเขาได้ เช่น ด้านสาธารณสุข ซึ่งภาคเอกชนของสหภาพยุโรปหรือ อียูอยากจะช่วยต่อยอดเครื่องมือต่างๆ ทางการแพทย์ให้ทันสมัยขึ้น ธุรกิจด้านออนไลน์ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของไทยที่กำลังเริ่มพัฒนา รวมถึงอุตสาหกรรมใหม่ คือ ไบโอพลาสติก เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่เอกชนสนสนใจทั้งหมดนั้นกระทรวงการคลังจะรับไว้พิจารณา
“ประธานคณะสภาธุรกิจอาเซียน พูดว่าหลังได้รับฟังแผนการการลงทุนในประเทศไทย ทำให้เสริมสร้างความเชื่อมั่นเขาได้มากขึ้น ผมจึงเรียนกลับไปว่า วันนี้ทางกระทรวงการคลังและรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์เฉพาะหน้า และการขับเคลื่อนการปฎิรูปเศรษฐกิจไทย โดยยืนยันว่าไทยมีความเข้มแข็งทางด้านการเงินการคลัง และพร้อมออกมาตรการที่จำเป็นเพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัว โดยเมื่อเศรษฐกิจไทยมีความพร้อมแล้วก็จะเดินหน้าเรื่องปฎิรูปทันที ตั้งแต่ระดับฐานรากจนถึงอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้”