

- จ่อขยายระยะเวลามาตรการพักหนี้สูงสุดออกไปอีก 6 เดือน
- หลังยังมีกลุ่มที่เดือดร้อนไม่สามารถชำระและติดตามหนี้ได้
- ฉุดกำไรปีนี้ลดลงเหลือ 18, 000 ล้านบาท
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ในสิ้นปีนี้ ธนาคารจะตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญส่วนเกินจำนวน 12,400 ล้านบาท เพื่อรองรับการเกิดหนี้เสียจากมาตรการพักชำระหนี้ที่จะเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ที่จะสิ้นสุดในเดือนธ.ค.นี้
ทั้งนี้ การตั้งสำรองดังกล่าว ยังไม่นับรวมการตั้งสำรองกรณีที่สถาบันการเงินของรัฐทั้งหมดจะต้องตั้งสำรองหนี้สำหรับลูกหนี้จัดชั้นตามมาตรฐานบัญชีใหม่ที่จะมีการบังคับใช้ในปี 2565 โดยธนาคารอาจจะต้องตั้งสำรองในจำนวนสูง เนื่องจาก ลูกหนี้ของธนาคารส่วนใหญ่เป็นรายย่อยไม่มีหลักประกัน หากไม่มีการผ่อนผันระยะเวลาบังคับธนาคารก็จะต้องเตรียมวงเงินไว้กันสำรองเพิ่มขึ้น
“ปัจจุบัน มีสำรองหนี้สงสัยจะสูญแล้วจำนวน 100% คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 4, 000 ล้านบาท หรือมีระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงกว่า 15% มีหนี้เสียอยู่ 55, 000 ล้านบาท”
ทั้งนี้การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญส่วนเกินดังกล่าว จะทำให้ผลกำไรในปีนี้ของธนาคารลดลงเหลือประมาณ 18, 000 ล้านบาท ต่ำกว่าระยะหลายปีที่ผ่านมาที่ธนาคารมีกำไรเฉลี่ยหลัก 20, 000 ล้านบาท
” ขณะนี้ธนาคารยังประเมินไม่ได้ว่า ลูกหนี้ที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้ของธนาคารจำนวนประมาณ 1 ล้านล้านบาท หรือ 50% ของพอร์ตสินเชื่อ 2.1 ล้านล้านบาทนั้นจะไหลมาเป็นหนี้เสียจำนวนเท่าไหร่ ดังนั้นจึงต้องตั้งสำรองส่วนเกินไว้ในระดับสูง เพื่อให้ธนาคารมีความแข็งแรง ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธนาคารจะตั้งสำรองเฉลี่ยปีละไม่กี่ร้อยล้านบาท โดยปีที่ผ่านมา ตั้งสำรองไปประมาณ 200 ล้านบาท”
อย่างไรก็ตามยอดการพักชำระหนี้จำนวน 1.1 ล้านล้านบาท เป็นลูกหนี้ที่ยังมีความสามารถในการชำระหนี้สูง โดยเป็นลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการถึง 400, 000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 400, 000 ล้านบาท เป็นสินเชื่อบ้านและตกแต่ง ซึ่งสินเชื่อเหล่านี้ จะเป็นสินเชื่อที่ลูกหนี้จะสามารถชำระได้ดี และอีกราว 300, 000 ล้านบาท เป็นสินเชื่อทั่วไป ในจำนวนนี้มี 60, 000 ล้านบาท เป็นสินเชื่อเอสเอ็มอี
“ธนาคารเป็นห่วงลูกหนี้ที่อาจจะมีปัญหาเรื่องของรายได้ และไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้น จึงมอบโจทย์ให้เจ้าหน้าที่ไปคิดแผนในการติดตามหนี้ เพื่อให้หนี้สามารถกลับมาปกติ”
อย่างไรก็ตามธนาคารจะให้ความสำคัญกับการดูแลหนี้ โดยขณะนี้ แบ่งลูกหนี้ออกเป็น 3 ระดับ คือ เขียว คือ มีความสามารถชำระหนี้ เหลือง คือ มีความสามารถชำระหนี้แต่ไม่สม่ำเสมอ และ แดง คือ ไม่มีความสามารถชำระหนี้ ทั้งนี้ระดับเขียวที่สามารถกลับมาชำระได้ส่วนหนึ่งแต่ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ จะให้กลับมาจ่ายเงินต้นแต่จะให้พักชำระดอกเบี้ยส่วนหนึ่งไปก่อน โดยเบื้องต้นจะให้ระยะเวลาอีก 6 เดือน ส่วนกลุ่มที่มีปัญหาธนาคารจะมีมาตรการดูแลพิเศษ ซึ่งเราจะพัฒนาให้สามารถเจรจาปรับโครงสร้างหนี้บนแอปพลิเคชั่น mymo ได้
ทั้งนี้แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อใหม่ในปีหน้า ประเมินว่า น่ายังอยู่ในระดับทรงตัวตั้งแต่เกิดโควิด-19 โดยภาคธุรกิจบางตัวอาจจะเริ่มฟื้นตัว แต่บางธุรกิจยังไม่สามารถไปได้ หรือในธุรกิจเดียวกัน อาจจะดีขึ้นในบางพื้นที่ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว อาจจะดีขึ้นในบางจังหวัด เป็นต้น
“เศรษฐกิจในปีหน้าเรายังต้องประเมินอีกครั้ง เพราะขณะนี้ โควิด-19 ยังไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ยังมีบางจุดดีบางจุดไม่ดี เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวก็ดีในบางจุดบางจังหวัด เป็นต้น”